ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นเทศนาที่สำคัญสูตรหนึ่ง นอกจากจะเป็นปฐมเทศนาแล้ว เนื้อหายังครอบคลุมหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาไว้ได้เกือบทั้งหมดเป็นการแสดงหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาโวยเทศนาที่กระชับและได้ใจความสำคัญ นอกจากนั้นยังมีผู้รับรองสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงคือโกญฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรมเมื่อฟังธรรมเทศนาจบ ความสมบูรณ์ของธัมมจักกัปวัตนสูตรนั้นชาวพุทธเข้าใจดี แต่ถ้าจะนำแนวคิดทางปรัชญามาอธิบายจะทำได้หรือไม่ เพราะปรัชญามีขอบข่ายที่แตกต่างจากศาสนา และสิ่งที่ปรัชญาสนใจอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับแนวคิดทางศาสนาเลยก็ได้ ก่อนจะวิเคราะห์ตามแนวทางแห่งปรัชญาจึงควรรู้จักปรัชญาบ้างพอสมควร
ปรัชญาคืออะไร
ปรัชญา (philosophy) มีที่มาจากภาษาสันสกฤต หมายถึงความรู้อันประเสริฐ โดยมีรากศัพท์มาจากคำว่า ปฺร ที่แปลว่าประเสริฐ กับ คำว่า ชฺญา ที่แปลว่ารู้ ซึ่งเป็นศัพท์บัญญัติของพระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ในภาษาอังกฤษคำว่า philosophy มีรากศัพท์มาจากคำ philo-sophia ในภาษากรีก philos แปลว่าความรัก และ sophia แปลว่าความรู้ เมื่อรวมกันจึงมีความหมายว่า "การรักในความรู้" หรือ ปรารถนาจะเข้าถึงความรู้หรือปัญญา การศึกษาด้าน ปรัชญา มีเป้าหมายที่ความเข้าใจ ความรู้ หรือปัญญาบางอย่าง เกี่ยวกับแนวคิดรากฐาน เช่น สภาพความเป็นจริง ความรู้ ความหมาย ค่านิยม การมีอยู่ และ ความจริง อย่างไรก็ตามยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่าควรใช้แนวทางใดควรเป็นแนวทางในการศึกษานี้ ซึ่งรวมไปถึงความถูกต้องของหลักการวิภาษวิธีแบบโบราณด้วย นอกจากนี้คำว่าปรัชญายังถูกเข้าใจในหลายๆ แบบโดยนักปรัชญาและผู้คนที่อยู่นอกวงการปรัชญา คำว่า ปรัชญา อาจใช้เพื่อหมายถึงกลุ่มของผลงานของนักปรัชญาหลัก คำนี้อาจหมายถึงการศึกษาปัญหาต่างๆ ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาโดยนักปรัชญา หรืออาจหมายถึงวิธีการคิดแบบวิเคราะห์และสร้างสรรค์ ปรัชญาตะวันตกร่วมสมัย สามารถแบ่งออกเป็นสายใหญ่ๆ ได้สองสายคือ 'สายวิเคราะห์' และ 'ปรัชญาสายภาคพื้นทวีป' (continental) สายแรกมุ่งประเด็นอยู่ที่การวิเคราะห์เชิงแนวคิด สายที่สองนั้นมีความแตกต่างตรงที่มุ่งเป้าศึกษาอยู่กับปัญหาที่เฉพาะเจาะจง ปรัชญาตะวันออกก็จัดว่าเป็นอีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน เราสามารถพิจารณากลุ่มแนวคิดเหล่านี้โดยคิดแยกจากกันหรือจะเปรียบเทียบกันก็ได้ในชีวิตประจำวันคำว่าปรัชญานั้นมีความหมายหลากหลาย แต่ในบทความนี้จะสนใจปรัชญาในฐานะที่เป็นสาขาวิชาหนึ่งเท่านั้น
ศาสตราจารย์วิทย์ วิศทเวย์ได้แสดงทัศนะไว้ว่า วิชาปรัชญาเกิดจากความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ บางทีความอยากรู้อยากเห็นนั้นเกิดขึ้นเพราะมนุษย์ต้องการหาความรู้ เพื่อที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของชีวิตเช่นเราอยากรู้ว่าทำอย่างไรต้นข้าวที่ปลูกไว้จึงจะได้ผลิตผลมากๆ แต่บางทีความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์มิได้เกิดขึ้นเพราะต้องการอย่างนั้น ทาเลสบิดาแห่งปรัชญาอยากรู้ธาตุแท้ของโลกเพียงเพราะต้องการรู้โดยมิหวังผลอะไรเป็นกิจจะลักษณะ มนุษย์มีกำเนิดมาอย่างไรก็แล้วแต่ แต่ความจริงที่ปรากฎอยู่ก็คือว่า ความอยากรู้อยากเห็นและการซักไซ้ไล่เลียงไปเรื่อยๆอย่างไม่มีสิ้นสุด เป็นธรรมชาติอันหนึ่งของคนเรา และวิชาปรัชญาก็เกิดขึ้นเพราะเหตุนี้ วิทย์ วิศทเวย์,ปรัชญาทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ 17, (กรุงเทพฯ:อักษรเจริญทัศน์,2547,หน้า 218.
หัวข้อทางปรัชญา
นักปรัชญามักสนใจในเรื่องของ การมีอยู่(Existance) หรือการเป็นอยู่ คุณธรรม ความรู้ ความจริง และความงาม นักปรัชญาอาจตั้งคำถามอย่างเอาเป็นเอาตายกับแนวคิดเหล่านี้ ซึ่งมักเป็นเรื่องที่อยู่นอกขอบเขตของการเข้าถึงของวิทยาศาสตร์ ในอดีต นักปรัชญาส่วนมากมักวางแนวคิดของตนอยู่บนความเชื่อทางศาสนาหรือวิทยาศาสตร์ ผลงานหลักๆ ในหลังยุคกลางเริ่มด้วยการตั้งคำถามเกี่ยวกับความหมายของปรัชญา การถามว่า “ปรัชญาคืออะไร” ก็เป็นปัญหาทางปรัชญาด้วยเช่นกันอย่างไรก็ตามโดยทั่วไปแล้วนักปรัชญามักเริ่มต้นด้วยปัญหาเช่น
การคิดที่ถูกต้องเป็นอย่างไร?เมื่อใดที่เราสามารถระบุได้อย่างแน่นอนว่าบางอย่างไม่ถูกต้อง เราจะคิดอย่างรอบคอบในเรื่องที่สลับซับซ้อนได้อย่างไร
ความรู้เป็นสิ่งที่มีจริงหรือไม่ เป็นไปได้ที่จะมีความรู้หรือไม่ ธรรมชาติของความรู้เป็นอย่างไร ความรู้เป็นสิ่งที่อยู่นิ่งหรือเคลื่อนไหวไปตามปัจจัยใดบ้าง? อะไรคือกระบวนการที่ทำให้ได้มาซึ่งความรู้?
การกระทำควรจะมีเป้าหมายขั้นสุดท้ายอยู่ที่อะไร มีความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ดีกับสิ่งที่ชั่วหรือไม่ อะไรคือเกณฑ์แบ่งแยกระหว่างดีและชั่ว ความถูกต้องเป็นสิ่งสัมบูรณ์หรือว่าเป็นสิ่งสัมพัทธ์ เราควรจะใช้ชีวิตเช่นใด
อะไรคือความจริง อะไรคือสิ่งที่มีอยู่ ธรรมชาติพื้นฐานของสิ่งเหล่านั้นคืออะไร สรรพสิ่งมีอยู่ด้วยตัวของมันเองนอกเหนือการรับรู้ของเราหรือไม่ ธรรมชาติของเนื้อที่และเวลาเป็นอย่างไร? ธรรมชาติของความคิดและการคิดเป็นอย่างไร? การเป็นคนมีความหมายเช่นใด การมีสติรู้คืออะไร มีพระเจ้าหรือไม่
ความงามเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับผู้ที่รับรู้หรือไม่ หรือว่าเป็นสิ่งสากลที่เป็นจริงในตัวเองแม้จะไม่ถูกรับรู้ องค์ประกอบของความงามคืออะไร อะไรคือศิลปะ
ในปรัชญากรีกโบราณกลุ่มของคำถามเหล่านี้จะถูกพิจารณาถึงในสาขาแยกย่อยของปรัชญา คือ การวิเคราะห์ หรือตรรกวิทยา(Logic), ญาณวิทยา(Epistemology), จริยศาสตร์(Ethics), อภิปรัชญา(Metaphysics), และสุนทรียศาสตร์ โดยที่จริยศาสตร์กับสุนทรียศาสตร์ถูกรวมเรียกว่าอรรฆวิทยา/คุณวิทยา(Axiology) อย่างไรก็ตามปรัชญามิได้สนใจเฉพาะเรื่องเหล่านี้เท่านั้น อริสโตเติลผู้ริเริ่มการแบ่งสาขาในลักษณะนี้ยังคงจัดให้การเมือง ฟิสิกส์สมัยใหม่ ธรณีวิทยา ชีววิทยา อุตุนิยมวิทยา และดาราศาสตร์เป็นสาขาหนึ่งของการศึกษาทางปรัชญาด้วยเช่นกัน แวดวงปรัชญากรีกได้พัฒนากระแสการคิดแบบวิเคราะห์ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากโสกราตีสและวิธีการของเขา ซึ่งเสนอให้แบ่งปัญหาที่สนใจออกเป็นส่วนๆ เพื่อทำให้เข้าใจปัญหาได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามปรัชญาแนวอื่น เช่นในปรัชญาตะวันออก อาจไม่จำเป็นต้องใช้การแบ่งสาขาย่อยในลักษณะที่กล่าวมา หรือว่าสนใจในเรื่องเดียวกัน สาขาต่าง ๆ ของปรัชญานั้นนักปรัชญาแต่ละยุคอาจจะแบ่งไม่เหมือนกันแต่สาขาที่สำคัญๆพอจำแนกได้ดังต่อไปนี้

อภิปรัชญา
อภิปรัชญาเป็นศัพท์บัญญัติของคำว่า Metaphysics หมายถึงศาสตร์ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะ (Reality Essence) มีปรัชญาอีกสาขาหนึ่งที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ Metaphysics คือ Ontology แปลว่า ภววิทยา ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความมี (being) ศาสตร์ทั้งสองนี้มีความเกี่ยวข้องกันเพราะว่า Metaphysics คือ ศาสตร์ที่ว่าด้วยความแท้จริงหรือสารัตถะว่ามีจริงหรือไม่ Ontology ก็ศึกษาเรื่องความมีอยู่ของความแท้จริง หรือสารัตถะนั้นเป็นจริงอย่างไรโดยทั่วไปถือว่าศาสตร์ทั้งสองนี้ศึกษาเรื่องเดียวกัน คือ ความมีอยู่ของความแท้จริง หรือความแท้จริงที่มีอยู่ เพราะฉะนั้นจึงถือว่าศาสตร์ทั้งสองเป็นเรื่องเดียวกัน อภิปรัชญาเป็นการศึกษาปรัชญาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือจากการเห็นทั่ว ๆ ไป หรือความรู้ที่อยู่นอกเหนือการรู้เห็นใด ๆ แต่สามารถรู้และเข้าใจด้วยเหตุผล
ญาณวิทยา
ญาณวิทยา หรือเรียกอีกอย่างว่า ทฤษฎีความรู้ (Theory of Knowledge)บัญญัติขึ้นเพื่อใช้เป็นคำแปลของคำภาษาอังกฤษว่า Epistemology ซึ่งมาจากภาษากรีกว่า Episteme (ความรู้)และ Logos (วิชา)มีความหมายว่า ทฤษฎีแห่งความรู้ ซึ่งญาณวิทยาจะอธิบายถึงปัญหาเกี่ยวกับที่มาของความรู้ แหล่งเกิดของความรู้ ธรรมชาติของความรู้ และเหตุแห่งความรู้ที่แท้จริง
จริยศาสตร์
จริยศาสตร์ (Ethics) มีที่มาจากรากศัพท์ภาษาละตินคำว่า (Ethos) ที่หมายถึง อุปนิสัย หรือหลักของความประพฤติ ขนบธรรมเนียมที่เป็นความเคยชิน จริยศาสตร์ เป็นการศึกษาถึงเป้าหมายสูงสุดของมนุษย์เราว่าคืออะไร อะไรควรทำหรือไม่ควรทำเพื่อจะได้ไปถึงเป้าหมายสูงสุดนั้น และจะใช้เกณฑ์อะไรมาตัดสินว่า สิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี ดังนั้น เป้าหมายของชีวิต คือ ตัวที่จะกำหนดการกระทำของมนุษย์ว่าจะเป็นไปในแนวทางใด และเป้าหมายชีวิตของมนุษย์แต่ละคนนั้นก็แตกต่างกันออกไปหลายแนวคิด
สุนทรียศาสตร์
สุนทรียศาสตร์เป็นศัพท์คำใหม่ ที่บัญญัติขึ้นโดย โบมการ์เด็น (Alexander Gottieb Baumgarte) ซึ่งก่อนหน้าที่เป็นเวลา 2000 กว่าปี นักปราชญ์สมัยกรีก เช่น เพลโต อริสโตเติล กล่าวถึงแต่เรื่องความงาม ความสะเทือนใจ ซึ่งเป็นความรู้สึกทางการรับรู้ (Sense Perception) ของมนุษย์ ปัญหาที่พวกเขาโต้เถียงกันได้แก่ ความงามคืออะไร ค่าของความงามนั้นเป็นจริงมีอยู่โดยตัวของมันเองหรือไม่ หรือว่าค่าของความงามเป็นเพียงความข้อความที่เราใช้กับสิ่งที่เราชอบ ความงามกับสิ่งที่งามสัมพันธ์กันอย่างไร มีมาตรการตายตัวอะไรหรือไม่ที่ทำให้เราตัดสินใจได้ว่าสิ่งนั้นงามหรือไม่งาม สุนทรียศาสตร์นับว่าเป็นแขนงหนึ่งของปรัชญาในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาคุณค่า (Axiology) ในสมัยก่อนวิชานี้เป็นที่รู้จักกันในรูปของวิชา “ทฤษฎีแห่งความงาม” (Theory of Beauty)
ตรรกวิทยา
ตรรกวิทยา (logic) มาจากรากศัพท์ ในภาษากรีกว่า “Logos” และ ความหมายของคำว่า logos ตามรากศัพท์เดิมในภาษากรีก หมายถึง คำพูด การพูด เหตุผล สมมุติฐาน สุนทรพจน์ คำกรีกที่มีรากศัพท์มาจาก logos เช่น logistikon มีความหมายถึง การอธิบาย การให้รายละเอียด นอกจากนี้ยังมีความหมาย หมายถึง คำสัญญา แต่อย่างไรก็ตามความหมาย ที่ซ่อนอยู่ของคำว่า Logic คือ การคิด นั่นเอง ตรรกวิทยามิใช่เรื่องราวของปรัชญาโดยตรง แต่มีความสำคัญในฐานะเป็นเครื่องมือในการคิดทางปรัชญา เพื่อค้นหาเหตุผลและความถูกผิดในการโต้แย้งที่ต่างกัน

วิเคราะห์แนวคิดทางปรัชญาในธัมมจักกัปวัตนสูตร
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นปฐมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงปัญจวัคคียที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แสดงถึงสิ่งจริงแท้ ความรู้ และแนวทางในการปฏิบัติ มีปรากฎในพระไตรปิฎกสองครั้งคือ ครั้งแรกในพระวินัยปิฎก มหาวรรค (วิ.มหา 4/13/15.)และในสังยุตตนิกาย มหาวรรค ธัมมจักกัปปวัตตนวรรคที่ 2 ตถาคตสูตร (สํ. มหา. 19/1664/419.) เมื่อวิเคราะห์แนวคิดในทางปรัชญาสามารถจัดเข้าในสาขาต่างๆของปรัชญาได้ดังนี้
แนวคิดทางอภิปรัชญา
ในธัมมจักกัปวัตตนสูตรมีส่วนที่เป็นปัญหาทางอภิปรัชญาคือทุกข์ดังข้อความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขอริยสัจ คือ ความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ ก็เป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ก็เป็นทุกข์ ความตายก็เป็นทุกข์ ความประจวบด้วยสิ่งที่ไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ โดยย่นย่อ อุปาทานขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ในขันธสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรคได้ยืนยันไว้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน ควรจะกล่าวได้ว่าอุปาทานขันธ์ 5 อุปาทานขันธ์ 5 เป็นไฉน ได้แก่อุปาทานขันธ์คือรูปอุปาทานขันธ์คือเวทนา อุปาทานขันธ์คือสัญญา อุปาทานขันธ์คือสังขาร อุปาทานขันธ์คือวิญญาณ นี้เรียกว่าทุกขอริยสัจ (สํ.มหา. 19/. 1679/422.)
ความจิรงแท้ที่มีอยู่ในโลกคือทุกข์ ดังนั้นทุกข์จึงเป็นปริญเญยยธรรมคือธรรมที่ควรกำหนดรู้ หากผู้ใดกำหนดรู้ความจริงแท้คือทุกข์ได้ก็จะเข้าใจธรรมหมวดอื่นๆได้ โดยที่สุดท่านหมายเอาอุปาทานขันธ์ห้าว่าเป็นทุกข์ ขันธ์ห้าคือรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สรุปก็คือสิ่งที่ควรกำหนดรู้คือนามรูปดังที่ปรากฎในปริญญาสูตร สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค ว่าด้วยธรรมที่ควรกำหนดรู้และความรอบรู้ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงธรรมที่ควรกำหนดรู้และความรอบรู้ เธอทั้งหลายจงฟัง. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ควรกำหนดรู้เป็นไฉน? ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปเป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้ เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ เป็นธรรมที่ควรกำหนดรู้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้เรียกว่าธรรมที่ควรกำหนดรู้. เมื่อรู้แล้วจะเป็นอย่างไรมีคำตอบในเรื่องเดียวกันว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความรอบรู้เป็นไฉน? คือความสิ้นไปแห่งราคะ ความสิ้น ปแห่งโทสะ ความสิ้นไปแห่งโมหะดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เรียกว่าความรอบรู้ (สํ.ขนฺธ 17/54/26.)
สิ่งจริงแท้ปรากฎในตถสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค ว่าด้วยของจริงแท้ 4 อย่างความว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่ง 4 อย่างนี้ เป็นของจริงแท้ ไม่แปรผัน ไม่เป็นอย่างอื่น สิ่ง 4 อย่างเป็นไฉน สิ่งนี้ว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ทางให้ถึงความดับทุกข์ เป็นของจริงแท้ ไม่แปรผัน ไม่เป็นอย่างอื่น สิ่ง 4 อย่างนี้ เป็นของจริงแท้ ไม่แปรผัน ไม่เป็นอย่างอื่น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา. (สํ.มหา.19/1697/426.)
พระพุทธศาสนามิได้แสดงแต่สิ่งที่จริงแท้เพียงอย่างเดียวแต่ยังบอกสาเหตุที่มาของความจริงนั้นด้วยว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขสมุทัยอริยสัจ คือตัณหาอันทำให้เกิดอีก ประกอบ ด้วยความกำหนัดด้วยอำนาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินในอารมณ์นั้นๆ คือ กามตัณหา
ภวตัณหา วิภวตัณหา.
เมื่อแสดงถึงที่เกิดยังสืบสาวไปจนถึงความดับของสิ่งจริงแท้นั้นด้วยว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นทุกขนิโรธอริยสัจ คือ ตัณหานั่นแลดับ โดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สละ สละคืน ปล่อยไป ไม่พัวพัน.
อภิปรัชญาว่าด้วยสิ่งจริงแท้ ความจริงหรือสมัยหนึ่งว่าปฐมธาตุ ในพระพุทธศาสนาแสดงสิ่งจริงแท้ว่าคืออริยสัจจ์ทั้งสี่ประการ โดยเฉพาะทุกข์ว่าเป็นสิ่งจริงแท้ ที่ควรกำหนดรู้ ทุกข์จึงจัดเป็นปัญหาทางอภิปรัชญา
แนวคิดทางญาณวิทยา
เรื่องที่นับได้ว่าเป็นญาณวิทยาได้แก่ญาณการรู้แจ้งดังคำว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแลควรละเสีย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจนี้นั้นแล เราได้ละแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธอริยสัจ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่าทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแลควรทำให้แจ้ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแล เราทำให้แจ้งแล้ว. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแล ควรให้เจริญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่าทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแลเราให้เจริญแล้ว
ปัญหาที่ว่าความรู้คืออะไรพระพุทธเจ้าแสดงไว้ใน วิชชาสูตร สังยุตตนิกายมหาวารวรรคว่า “ภิกษุนั้นนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่เรียกว่า วิชชา ๆ ดังนี้ วิชชาเป็นไฉน และด้วยเหตุเพียงเท่าไร บุคคลจึงจะชื่อว่าถึงวิชชา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ความรู้ในทุกข์ ในเหตุให้เกิดทุกข์ ในความดับทุกข์ ในทางที่ให้ถึงความดับทุกข์ นี้เรียกว่า วิชชา และด้วยเหตุเพียงเท่านี้ บุคคลย่อมชื่อว่าถึงวิชชา ดูก่อนภิกษุ เพราะฉะนั้นแหละ เธอพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา (สํ.มหา.19/1695/ 426.)
ญาณทัสสนะ มีรอบ 3 มีอาการ 12 ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเราในอริยสัจ 4 นี้ มีรอบ 3 มีอาการ 12 อย่างนี้ ยังไม่หมดจดดีแล้ว เพียงใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรายังยืนยันไม่ได้ว่า เป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ใน หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เพียงนั้น.
ในอรรถกถาตถาคตสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม 5 ภาค 2 หน้าที่ 425 ได้แสดงอรรถาธิบายไว้ว่า คำว่า มีวนรอบ 3 คือวน 3 รอบ ด้วยอำนาจวนรอบ 3 กล่าวคือ สัจญาณ กิจญาณ และกตญาณ. ก็ในวนรอบ 3 นี้ ญาณตามความเป็นจริงในสัจจะ 4 อย่างนี้ คือ นี้ทุกขอริยสัจจะ นี้ทุกขสมุทัย ชื่อว่าสัจญาณ ญาณที่เป็นเครื่องรู้กิจที่ควรทำอย่างนี้ว่า ควรกำหนดรู้ ควรละในสัจจะเหล่านั้นเที่ยว ชื่อว่า กิจญาณ. ญาณเป็นเครื่องรู้ภาวะเเห่งกิจนั้น ที่ทำแล้วอย่างนี้ว่า กำหนดรู้แล้ว ละได้แล้ว ดังนี้ ชื่อว่า กตญาณ. คำว่า มีอาการ 12 ความว่ามีอาการ 12 ด้วยอำนาจอาการสัจจะละ 3 นั้น คำว่า ญาณทัสสนะ คือ การเห็น กล่าวคือญาณที่เกิดขึ้นแล้วด้วยอำนาจวนรอบ 3 อย่าง อาการ 12 อย่างเหล่านี้. คำว่า ดวงตาเห็นธรรม ได้แก่มรรค 3 และผล 3 ในที่อื่น ชื่อว่า เป็นธรรมจักษุ. ในบทนี้ ได้แก่ปฐมมรรคทีเดียว. คำว่า ธรรมจักร ได้แก่ ญาณ เป็นเครื่องแทงตลอด และญาณเป็นเครื่องแสดง. ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนโพธิบัลลังก์ปฏิเวธญาณ มีอาการ 12 เกิดขึ้นแล้วในสัจจะ 4 ก็ดี ประทับนั่งแม้ในป่าอิสิปตนะ เทศนาญาณ ที่เป็นไปแล้ว เพื่อแสดงสัจจะมีอาการ 12 ก็ดี ชื่อว่าธรรมจักร. ก็ญาณแม้ทั้งสองนั้น ชื่อว่า ญาณที่ที่เป็นไปแล้วในพระอุระของพระทศพลนั่นเที่ยว ธรรมจักรนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงประกาศด้วยเทศนาน ชื่อว่า ทรงให้เป็นไปแล้ว. ก็ธรรมจักรนี้นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้เป็นไป ตราบจนถึงพระอัญญาโกณฑัญญเถระ กับพรหม 18 โกฏิดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล และเมื่อให้ธรรมจักรเป็นไปแล้ว จึงชื่อว่าให้เป็นไปแล้ว ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงให้ธรรมจักรเป็นไปแล้ว ท่านหมายเอาคำนั้น จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า ภุมมเทวดาทั้งหลาย ประกาศให้ได้ยินเสียง (อ.สํ.มหา.31/422.)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงของเรา ในอริยสัจ 4 นี้ มีรอบ 3 มีอาการ 12 อย่างนี้ หมดจดดีแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น เราจึงยืนยันได้ว่าเป็นผู้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ อันยอดเยี่ยมในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ อนึ่ง ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นวิเศษของเราไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุด ภพใหม่ไม่มีต่อไป
ญาณวิทยาว่าด้วยความรู้ และกระบวนการแห่งการรู้ ในพระพุทธศาสนาได้แสดงว่าความรู้คืออะไร เกิดได้อย่างไร และรู้ได้อย่างไรว่าความรู้เกิดขึ้นแล้ว และได้แสดงความรู้คือญาณเกิดขึ้นด้วยอำนาจวนรอบ 3 อย่าง อาการ 12 อย่างเป็นทฤษฎีความรู้ตามแนวแห่งพระพุทธศาสนาที่สมบูรณ์แบบ

แนวคิดทางจริยศาสตร์
ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแสดงหลักจริยศาสตร์ไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือการประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย เป็นธรรมอันเลว เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชน ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และการประกอบความเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นความลำบาก ไม่ใช่ของพระอริยะ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ในอรรถกถาตถาคตสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เล่ม 5 ภาค 2 หน้าที่ 425 ได้แสดงอรรถาธิบายไว้ว่า “คำว่า ไม่ควรเสพ คือไม่พึงใช้สอย. คำว่า การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลาย ความว่า การตามประกอบกามสุขในวัตถุกาม กิเลสกาม. คำว่า เป็นของเลว ได้แก่ลามก. คำว่า เป็นของชาวบ้าน. คือเป็นของมีอยู่แห่งชาวบ้านทั้งหลาย. คำว่า เป็นของปุถุชนได้แก่ ที่คนอันธพาลประพฤติเนือง ๆ แล้ว. คำว่า ไม่ประเสริฐ ได้แก่ไม่บริสุทธิ์ คือไม่ใช่ของสูงสุด อีกอย่างหนึ่ง มิใช่ของพระอริยะทั้งหลาย. คำว่าไม่ประกอบด้วยประโยชน์ คือประกอบด้วยประโยชน์หามิได้ อธิบายว่าไม่อาศัย เหตุที่นำประโยชน์เกื้อกูลแสะความสุขมาให้(อ.สํ.มหา.31/425.)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้นเป็นไฉน
ปฏิปทาสายกลางนั้น ได้แก่อริยมรรค มีองค์ 8 นี้แหละ คือปัญญาอันเห็นชอบ 1 ความดำริชอบ 1 เจรจาชอบ 1 การงานชอบ 1 เลี้ยงชีวิตชอบ 1 พยายามชอบ 1 ระลึกชอบ 1 ตั้งจิตชอบ 1 ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้แลคือปฏิปทาสายกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน.
แนวทางในการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุจุดมุ่งหมายสูงสุดคือต้องเว้นทางสองสายคือกามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยค จากนั้นจึงดำเนินตามทางสายกลางคืออริยมรรคมีองค์ 8 ก็จะสามารถบรรลุถึงจุดมุ่งหมายสูงสุดได้
หลักจริยศาสตร์ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนี้เป็นการแสดงวิธีการในการปฏิบัติตนเพื่อให้บรรลุความดีสูงสุดในพระพุทธศาสนานั่นคือนิพพาน กล่าวโดยสรุปทางสายกลางก็คือศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง โดยสรุปลงได้ดังนี้ปัญญาอันเห็นชอบ และความดำริชอบจัดเป็นปัญญา การเจรจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบจัดเป็นศีล และความพยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตชอบจัดเป็นสมาธิ หลักจริยศาสตร์ในพระพุทธศาสนาจึงอยู่ที่ศีล สมาธิและปัญญานั่นเอง
สุนทรียศาสตร์
ความงามในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นความงามในการพรรณาถ้อยคำเมื่อเหล่าเทวดาพากันชมเชยพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าความว่า “ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมจักรให้เป็นไปแล้ว เหล่าภุมมเทวดาได้บันลือเสียงว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือ ใครๆ ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้.
เทวดาชั้นจาตุมหาราช ได้ยินเสียงของพวกภุมมเทวดาแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
เทวดาชั้นดาวดึงส์ ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
เทวดาชั้นยามา ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
เทวดาชั้นดุสิตได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
เทวดาชั้นนิมมานรดีได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
เทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดีได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นจาตุมหาราชแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไป.
เทวดาที่นับเนื่องในหมู่พรหม ได้ยินเสียงของพวกเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวดีแล้ว ก็บันลือเสียงต่อไปว่า นั่นพระธรรมจักรอันยอดเยี่ยม พระผู้มีพระภาคทรงประกาศให้เป็นไปแล้ว ณ ป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสี อันสมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือใครๆ ในโลก จะปฏิวัติไม่ได้ ชั่วขณะการครู่หนึ่งนั้น เสียงกระฉ่อนขึ้นไปจนถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้แล
ทั้งหมื่นโลกธาตุนี้ได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ ได้ปรากฏแล้วในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย

ความหมายของหมู่เทวดาและพรหมในการพรรณาถ้อยคำสรรเสริญพระตถาคตเป็นถ้อยคำที่สละสลวย เมื่อว่าโดยความเป็นสากลอาจกล่าวได้ว่าการชมเชยสัจจธรรมอันเป็นสิ่งจริงแท้ การบรรลุความจริง ความดับสนิทด้วยสันติบทและแนวทางทางแห่งการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงสันติวรบทนั้นนับเป็นความงามที่เชื่อมโยงสัมพันธ์ตั้งแต่ต้น
ส่วนวิธีการทางตรรกศาสตร์มิได้ระบุไว้ชัดเจน แต่อาจจะแทรกอยู่ในวิธีทางที่ทำให้คนเข้าถึงความจริงได้เช่นความสมเหตุสมผลของทางสายกลาง ความมีเหตุผลของกามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยคที่ไม่เหมาะแก่นักบวชเป็นต้น
ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรจึงสามารถแสดงแนวคิดทางปรัชญาตามทัศนะของปรัชญาทั่วไปได้ แต่ปรัชญาตะวันตกและตะวันออกมีที่มาไม่เหมือนกัน ในทางะวันตกมุ่งเพื่อความรู้เป็นกิจกรรมทางปัญญา แต่ในปรัชญาตะวันออกมุ่งเพื่อการปฏิบัติ ดังนั้นปรัชญาตะวันออกส่วนมากจึงเป็นจริยศาสตร์ และอาจกลายเป็นลัทธิศาสนาในเวลาต่อมา ในขณะที่ปรัชญาตะวันตกได้พัฒนากลายเป็นศาสตร์มากกว่าที่จะกลายเป็นศาสนา
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
เรียบเรียง
เผยแผ่ครั้งแรกใน mbu.ac.th/02/2550
แก้ไขปรับปรุง 04/04/53
บรรณานุกรม
กรมการศาสนา.พระไตรปิฏกภาษาบาลี ฉบับสยามรัฐ.กรุงเทพ ฯ:กรมการศาสนา,2525.
กรมการศาสนา.พระไตรปิฏกภาษาไทย ฉบับหลวง.กรุงเทพ ฯ:กรมการศาสนา,2514.
กรมการศาสนา.พระไตรปิฏกภาษาไทยพร้อมอรรถกถา.กรุงเทพฯ:มหามกุฏราชวิทยาลัย,2525.
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต). พจนานุกรมพุทธศาสตร์. กรุงเทพ ฯ:สหธรรมิก,2545.
วิทย์ วิศทเวย์.ปรัชญาทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 17. กรุงเทพฯ:อักษรเจริญทัศน์.2547.
พระไตรปิฏกซีดีรอมฉบับเรียนพระไตรปิฎก.