ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai



 บทบาทของพระสงฆ์ในสังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ

             นับว่าเป็นเรื่องที่น่าคิดว่าเมื่อนักคิดจากโลกตะวันตกมองความสุขจากหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา แต่ปัญหาของคณะสงฆ์มิได้อยู่ที่ศาสนธรรม เพราะถึงอย่างไรก็คงไม่เลือนหาย แต่จะไปผสมอยู่ในศาสตร์อื่น ในอนาคตผู้ที่รู้ธรรมะจะเป็นชาวบ้านมากกว่าพระ ดังที่ในปัจจุบันนักพูดธรรมะ นักเขียนด้านพระพุทธศาสนามีมากกว่าพระภิกษุ โดยเฉพาะในประเทศไทยพระที่ทำหน้าที่อธิบายธรรมะให้กับคนรุ่นใหม่ได้เริ่มมีน้อยลง 
             ปัญหาของคณะสงฆ์จึงอยู่ที่ศาสนบุคคลและวิธีการเผยแผ่ แม้พระพุทธเจ้าจะวางหลักไว้ในการส่งสาวกไปเผยแผ่ครั้งแรกว่า “พวกเธอจงเที่ยวจาริก  เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก  เพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่ทวยเทพและมนุษย์  พวกเธออย่าได้ไปรวมทางเดียวกันสองรูป  จงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น  งามในท่ามกลาง  งามในที่สุด  จงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์”  (วิ. มหา. 4/32/ 32) 
             ปัจจุบันมีจำนวนพระบวชมากขึ้น แต่มีพระที่บวชไม่สึกอยู่ในพระพุทธศาสนาน้อยลง คนส่วนมากนิยมบวชระยะสั้น เพราะเงื่อนไขของการงาน ระบบการศึกษาของคณะสงฆ์มีคนเรียนน้อยลง ในอนาคตจะมีเปรียญธรรม 9 ประโยคน้อยลง หากคณะสงฆ์ไม่ปรับเปลี่ยน เพราะในปัจจุบันมหาวิทยาลัยต่างๆเปิดโอกาสให้พระเข้าศึกษาได้ และเรียนแล้วมีโอกาสจบมากกว่าเรียนบาลี พระสงฆ์ในสมัยพุทธกาลต้องเดินทางไปหาศาสนิกแล้วแสดงธรรม ข้อที่น่าสังเกตประการหนึ่งคือพระพุทธเจ้าทรงพักอยู่จำพรรษาเพียงสามเดือน ที่เหลืออีกเก้าเดือนได้เที่ยวจาริกไปในสถานที่ต่างๆเพื่อแสดงธรรม แต่ปัจจุบันพระสงฆ์พักอยู่ประจำในวัดแห่งเดียวติดต่อกันตลอดปี มิได้เดินทางจาริกไปหาศาสนิก แต่รอให้ศาสนิกเข้ามาหา จึงสวนทางกับบทบาทที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ 
             องค์กรสงฆ์จึงควรจะต้องมีพระสงฆ์ที่ศึกษาและพัฒนาในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศให้มากขึ้น จะได้นำไปเผยแผ่ให้กับคนรุ่นใหม่ได้ เพราะพูดภาษาเดียวกัน หากไม่เดินทางไปด้วยกายก็สามารถอาศัยความเจริญทางเทคโนโลยีเผยแผ่ธรรมผ่านอินเทอร์เน็ตหรือช่องทางอื่นๆ ซึ่งปัจจุบันมีวัดหลายแห่งทำงานด้านนี้อย่างได้ผลเช่นหลวงตาดอทคอม แห่งวัดป่าบ้านตาดเป็นต้น

 

             เนื่องจากพระสงฆ์มีกรอบในการดำเนินชีวิตคือพระธรรมวินัย ในสมัยพุทธกาลเทคโนโลยีคงยังไม่เจริญมากนัก เพราะยังอยู่ในยุคสังคมเกษตรกรรม จึงมิได้มีวินัยบัญญัติเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีไว้เลย เทคโนโลยีเป็นเรื่องของวัตถุ ซึ่งวินัยบัญญัติในเรื่องวัตถุจึงมีขอบข่ายอยู่ที่เรื่องของเครื่องนุ่งห่ม(จีวร) อาหาร(บิณฑบาต) ที่อยู่อาศัย(กุฎิ วิหาร) และยารักษาโรค ซึ่งให้ใช้เท่าที่จำเป็นเช่นสิกขาบทเรื่องจีวรในจีวรวรรคก็ให้ใช้ไม่เกินสามผืนดังในสิกขาบทที่หนึ่งแห่งจีวรวรรคว่า “ภิกษุใดทรงอติเรกจีวร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์"   
             บัญญัติในเรื่องของอาหารบิณฑบาตก็ให้รับแต่พอประมาณดังที่บัญญัติไว้ในโภชนวรรคสิกขาบทที่สี่ว่า “ภิกษุเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน ทายกเขาเอาขนมมาถวายเป็นอันมาก  จะรับได้เป็นอย่างมากเพียงสามบาตรเท่านั้น  ถ้ารับให้เกินกว่านั้นต้องปาจิตตีย์ ของที่รับมามากเช่นนั้น ต้องแบ่งให้ภิกษุอื่น 
             บัญญัติในเรื่องเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยเช่นในสังฆาทิเสส สิกขาบทที่ 6 ว่า  “ภิกษุสร้างกุฎีที่ต้องก่อและโบกด้วยปูนหรือดิน  ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ  จำเพาะเป็นที่อยู่ของตน  ต้องทำให้ได้ประมาณ  โดยยาวเพียง 12  คืบพระสุคต  โดยกว้างเพียง 7 คืบ  วัดในร่วมใน  และต้องให้สงฆ์แสดงที่ให้ก่อน  ถ้าไม่ให้สงฆ์แสดงที่ให้ก็ดี  ทำให้เกินประมาณก็ดี  ต้องสังฆาทิเสส 
             ยารักษาโรคนั้นก็ให้ใช้ตามที่มี  สิกขาบทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศพระพุทธเจ้าจึงมิได้ทรงบัญญัติไว้

 

             หากจะเทียบเคียงน่าจะเป็นเทคโนโลยีทางจิตดังที่ปรากฏในปาราชิก สิกขาบทที่ 4 ความว่า “ภิกษุใด ไม่รู้เฉพาะ กล่าวอวดอุตตริมนสสธรรม อันเป็นความรู้  ความเห็น อย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้ามาในตนว่าข้าพเจ้ารู้อย่างนี้  ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ ครั้นสมัยอื่นแต่นั้น อันผู้ใดผู้หนึ่ง ถือเอาตามก็ตาม ไม่ถือเอา  ตามก็ตาม เป็นอันต้องอาบัติแล้ว มุ่งความหมดจด จะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะท่านข้าพเจ้าไม่รู้อย่างนั้น ได้กล่าวว่ารู้ ไม่เห็นอย่างนั้น ได้กล่าวว่าเห็น ได้พูดพล่อยๆ เป็นเท็จเปล่าๆ แม้ภิกษุนี้ ก็เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้”  
             คำว่า “อุตตริมนสสธรรม” ได้แก่ ฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ ญาณทัสสนะ  มรรคภาวนา การทำให้แจ้งซึ่งผล การละกิเลส ความเปิดจิต ความยินดียิ่งในเรือนอันว่างเปล่า  ซึ่งก็ไม่มีเรื่องของเทคโนโลยีทางวัตถุเลย แต่น่าจะเป็นเทคโนโลยีทางจิต

หลักมหาปเทศคือทางออกของพระสงฆ์

             ปัญหาและทางออกของพระธรรมวินัยอยู่ที่หลักมหาปเทศซึ่งมีพระพุทธานุญาตเรื่องมหาประเทศไว้ในวินัยปิฎก มหาวรรค(วิ.มหา.5/92/105) เมื่อครั้งหนึ่งภิกษุทั้งหลายเกิดความรังเกียจในพระบัญญัติบางสิ่งบางอย่างว่าสิ่งใดหนอพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตไว้ สิ่งไรไม่ได้ทรงอนุญาต จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสประทานสำหรับอ้าง 4 ข้อ ดังต่อไปนี้
             1. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย      
             2. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร  ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย  
              3. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย  
              4. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย    
             ปัญหาของพระสงฆ์กับเทคโนโลยีจึงอยู่ที่วัตถุประสงค์ว่าใช้เพื่ออะไร ใช้ในสิ่งที่ควรหรือไม่ควร แต่การพิจารณาว่าอะไรควรหรือไม่ควรก็มิใช่เรื่องที่ตัดสินได้ง่ายนัก  

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก