บุพพกรรมของพระนาคเสนและพระยามิลินท์
พระนาคเสนและพระยามิลินท์กระทำกรรมร่วมกันมาตั้งแต่อดีตชาติ ในศาสนาของสมเด็จพระพุทธกัสสป มีพระราชพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า พระเจ้าวิชิตาวี เสวยราชย์อยู่ใน สาคลนครราชธานี พระองค์ทรงอนุเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ 4 สร้างมหาวิหารลงไว้ที่ริมแม่น้ำคงคา ถวายพระเถระทั้งหลายที่ทรงคุณธรรมต่าง ๆ กัน มีทรงพระไตรปิฎก เป็นต้น ทั้งทรงบำรุงด้วยปัจจัย 4
เมื่อพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ได้ขึ้นไปบังเกิดเป็น พระอินทร์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ด้วยอานิสงค์นั้น และมหาวิหารที่ท้าวเธอทางสร้างไว้ ถึงพระองค์สิ้นพระชนม์ไปแล้วก็ดี ก็มีพระภิกษุอาศัยอยู่เป็นอันมาก ในพระภิกษุสงฆ์เหล่านั้น พระภิกษุทั้งหลายผู้สมบูรณ์ด้วยข้อวัตรเป็นอันดี เช้าขึ้นก็ได้ถือเอาไม้กวาดด้ามยาว แล้วนึกถึงพระพุทธคุณ แล้วจึงพากันกวาดบริเวณพระเจดีย์ กวาดเอาหยากเยื่อไปรวมเป็นกองไว้ มีพระภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีลองค์หนึ่ง เรียกสามเณรองค์หนึ่งว่า "จงมานี่…สามเณร! จงหอบเอาหยากเยื่อไปเททิ้งเสีย"
สามเณรนั้นก็เฉยอยู่ เหมือนไม่ได้ยิน พระภิกษุองค์นั้นเรียกสามเณรองค์นั้น 3 ครั้ง เห็นสามเณรนั่งนิ่งเฉยเหมือนไม่ได้ยินก็คิดว่า สามเณรองค์นี้หัวดื้อ จึงไปตีด้วยด้ามไม้กวาด สามเณรก็ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด แล้วหอบเอาหยากเยื่อไปทิ้งด้วยความกลัว เมื่อหอบเอาหยากเยื่อไปทิ้งนั้น ได้ปรารถนาว่า "ด้วยผลบุญที่เราหอบหยากเยื่อมาทิ้งนี้ หากเรายังไม่ถึงนิพพานเพียงใด เราจะเกิดในภพใด ๆ ก็ตาม ขอให้เรามีเดชเหมือนกับดวงอาทิตย์เวลาเที่ยงวันฉะนั้นเถิด"
สามเณรตั้งความปรารถนาดังนี้แล้ว ก็เดินไปอาบน้ำที่แม่น้ำคงคา ดำผุดดำว่ายเล่นตามสบายใจ เมื่อสบายใจแล้วก็ได้เห็นละลอกคลื่นในแม่น้ำนี้มากมายนักหนา ยินดีปรีดาจะใคร่มีปัญญาเฉลียวฉลาดไม่รู้สุดรู้สิ้น ดุจลูกคลื่นในแม่น้ำนั้น และได้คิดว่าอาจารย์ได้ใช้ให้เราหอบเอาหยากเยื่อมาทิ้งนี้ ไม่ใช่เป็นกรรมของเรา ทั้งไม่ใช่เป็นกรรมของอาจารย์ แต่เป็นการอนุเคราะห์เราให้ได้บุญเท่านั้น ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงปรารถนาขึ้นอีกเป็นครั้งที่ 2 ว่า "ข้าพเจ้ายังไม่ถึงนิพพานตราบใด ไม่ว่าข้าพเจ้าจะไปเกิดในชาติใด ๆ ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาไม่รู้จักสิ้นสุด เหมือนกับลูกคลื่นในแม่น้ำคงคานี้เถิด"
ส่วนพระภิกษุผู้เป็นอาจารย์นั้น เมื่อเอาไม้กวาดไปเก็บไว้ที่โรงเก็บไม้กวาดแล้ว ก็ลงไปที่ท่าน้ำคงคาเพื่อจะอาบน้ำ ก็ได้ยินเสียงสามเณรตั้งความปรารถนา จึงคิดว่า ความปรารถนาของสามเณรนี้ เป็นความปรารถนาใหญ่ จะสำเร็จได้เพราะอาศัยพระพุทธคุณ คิดดังนี้แล้ว จึงหัวเราะขึ้นด้วยความดีใจว่า สามเณรนี้ถึงเป็นผู้ที่เราใช้ก็ยังปรารถนาอย่างนี้ ความปรารถนาของสามเณรนี้ จักสำเร็จเป็นแน่แท้ คิดดังนี้แล้ว จึงตั้งความปรารถนาว่า "ข้าพเจ้ายังไม่สำเร็จนิพพานตราบใด ขอให้ข้าพเจ้ามีปัญญาหาที่สุดมิได้ เหมือนกับฝั่งแม่น้ำคงคานี้ ให้เป็นผู้สามารถแก้ไขปัญหาปฏิภาณทั้งปวง ที่สามเณรนี้ไต่ถามได้สิ้น ให้สามารถชี้แจงเหตุผลต้นปลายได้เหมือนกับบุรุษที่ม้วนกลุ่มด้าย สางด้ายอันยุ่ง ให้รู้ได้ว่า ข้างต้นข้างปลายฉะนั้น ด้วยอำนาจบุญที่ข้าพเจ้าได้กวาดวัด และใช้สามเณรให้นำหยากเยื่อมาเททิ้งนี้เถิด"
ในฉบับภาษาจีน กล่าวถึงอดีตชาติของพระนาคเสนและพระยามิลินท์ว่า “พราหมณ์ผู้เคยเป็นช้างในอดีต และพราหมณ์ผู้เคยเป็นฤาษีและเป็นเพื่อนของพราหมณ์คนแรก ต่างก็ได้ตั้งความปรารถนาและทั้งสองก็ได้มาเกิดเป็นนาเซียน(นาคเสน) และมีลัน(พระเจ้ามิลินท์) ตามความปราถนาของทั้งสอง (คณะกรรมการแผนกตำรา มหามกุฏราชวิทยาลัย,มิลินทปัญหา : ฉบับแปลในมหามกุฏราชวิทยาลัย,กรุงเทพ ฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย,2543, หน้า 542)
ต่อมาสามเณรนั้น ก็ได้มาเกิดเป็นพระเจ้ามิลินท์ ในสาคลนคร อันมีในชมพูทวีป มีคำเล่าลือปรากฏมาว่า "เมืองสาคลนคร" ของชาวโยนก เป็นเมืองที่งดงามด้วยธรรมชาติอันน่ารื่นรมย์ อุทยานอันมีสระน้ำ สวนดอกไม้ผลไม้ ตกแต่งไว้อย่างดี มีหมู่นกมากมายอาศัยอยู่ ป้อมปราการก็แข็งแรง ปราศจากข้าศึกมารบกวน ถนนหนทางภายในพระนครเกลื่อนกล่นไปด้วยช้างม้ารถอันคล่องแคล่ว อีกทั้งหมู่สตรีล้วนมีรูปร่างสวยงาม ต่างเที่ยวสัญจรไปมา ทั้งเป็นที่พักพาอาศัยของ สมณพราหมณ์ พ่อค้าสามัญชนต่าง ๆ เมืองสาคลนครนั้น สมบูรณ์ด้วยผ้าแก้วแหวนเงินทอง ยุ้งฉาง ของกินของใช้ มีตลาดร้านค้าเป็นที่ไปมาแห่งพ่อค้า ข้างนอกเมืองก็บริบูรณ์ด้วยพืชข้าวกล้า อุปมาเหมือนข้าวกล้าในอุตตรกุรุทวีป หรือไม่ก็เปรียบเหมือนกับ "อารกมัณฑาอุทยาน" อันสถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชฉะนั้น"
พระเจ้ามิลินท์นั้นเป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาดมีความคิดดี สามารถรู้เหตุการณ์อันเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันได้ เป็นผู้ใคร่ครวญในเหตุการณ์ถี่ถ้วนทุกประการ เป็นผู้ได้ศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก ถึง 18 ศาสตร์ด้วยกัน รวมเป็น 19 กับทั้งพุทธศาสตร์
ศิลปศาสตร์ 18 ประการ คือ
1. รู้จักภาษาสัตว์ มีเสียงนกร้อง เป็นต้น ว่าร้ายดีประการใดได้สิ้น
2. รู้จักกำเนิดเขาและไม้ เป็นต้น ว่าชื่อนั้น ๆ
3. คัมภีร์เลข
4. คัมภีร์ช่าง
5. คัมภีร์นิติศาสตร์ รู้ที่จะเป็นครูสั่งสอนท้าวพระยาทั้งปวง
6. คัมภีร์พาณิชยศาสตร์ รู้ที่จะเลี้ยงฝูงชนให้เป็นสิริมงคล
7. พลศาสตร์ รู้นับนักขัตฤกษ์ รู้ตำราดวงดาว
8. คัมธัพพศาสตร์ รู้เพลงขับร้องและดนตรี
9. เวชชศาสตร์ รู้คัมภีร์แพทย์
10. ธนูศาสตร์ รู้ศิลปะการยิงธนู
11. ประวัติศาสตร์
12. ดาราศาสตร์ รู้วิธีทำนายดวงชะตาของคน
13. มายาศาสตร์ รู้ว่านี่เป็นแก้ว นี่มิใช่แก้ว เป็นต้น
14. เหตุศาสตร์ ผลศาสตร์ รู้จักเหตุ รู้จักผลจะบังเกิด
15. ภูมิศาสตร์ รู้จักที่จะเลี้ยงโคกระบือ รู้การที่จะหว่านพืชลงในนาไร่ให้เกิดผล
16. ยุทธศาสตร์ รู้คัมภีร์พิชัยสงคราม
17. ลัทธิศาสตร์ รู้คัมภีร์โลกโวหาร
18. ฉันทศาสตร์ รู้จักคัมภีร์ผูกบทกลอนกาพย์โคลง
พระเจ้ามิลินท์นั้น มีถ้อยคำหาผู้ต่อสู้ได้ยาก ปรากฏยิ่งกว่าพวกเดียรถีย์ทั้งปวง ไม่มีใครเสมอเหมือนในทางสติปัญญา ทั้งประกอบด้วยองค์ 3 ประการ คือ 1. มีเรี่ยวแรงมาก 2. มีปัญญามาก 3. มีพระราชทรัพย์มาก
ในกาลคราวหนึ่ง พระเจ้ามิลินท์ได้เสด็จออกจากพระนครด้วยพลนิกรเป็นอันมาก หยุดพักนอกพระนครแล้ว ตรัสแก่พวกอำมาตย์ว่า " เวลายังเหลืออยู่มาก เราจะทำอะไรดีเราจะกลับเข้าเมืองก็ยังวันอยู่ สมณพราหมณ์เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ที่ยืนยันว่า เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ใดหนออาจสนทนากับเราได้ อาจตัดความสงสัยของเราได้ "
เมื่อตรัสอย่างนี้ พวกโยนกข้าหลวงทั้ง 500 ก็กราบทูลขึ้นว่า " ข้าแต่มหาราชเจ้า บัณฑิตที่จะพอสนทนากับพระองค์ได้นั้นมีอยู่ คือครูทั้ง 6 อันได้แก่ ปูรณกัสสป มักขลิโคสาล นิคัณฐนาฏบุตร สญชัยเวฬฏฐบุตร อชิตเกสกัมพล ปกุทธกัจจายนะ พระเจ้าข้า ครูทั้ง 6 นั้น เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียงปรากฏ มียศบริวารมีผู้คนนับถือมาก ขอมหาราชเจ้าจงเสด็จไปไต่ถามปัญหา ต่อคณาจารย์เหล่านั้นเถิด คณาจารย์เหล่านั้นจะตัดความสงสัยของพระองค์ได้ พระเจ้าข้า "
พระเจ้ามิลินท์เสด็จไปหาครูทั้ง 6 ลำดับนั้นพระเจ้ามิลินท์ก็ห้อมล้อมด้วยข้าหลวงโยนกทั้ง 500 ขึ้นทรงราชรถเสด็จไปหา ปูรณกัสสป ทรงปราศรัยแล้วประทับนั่งลงตรัสถามว่า " ท่านกัสสป อะไรรักษาโลกไว้ "
ปูรณกัสสปตอบว่า " ขอถวายพระพร แผ่นดินรักษาโลกไว้ "
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า "ถ้าแผ่นดินรักษาโลกไว้ เหตุไรผู้ทำบาปจึงล่วงเลยแผ่นดินลงไปถึงอเวจีนรกล่ะ "
เมื่อตรัสอย่างนี้ ปูรณกัสสปก็ไม่อาจโต้ตอบได้ ได้แต่นั่งนิ่งกลืนน้ำลายอยู่เท่านั้น ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงทรงดำริว่าชมพูทวีปว่างเปล่าเสียแล้ว เพราะไม่มีสมณพราหมณ์เจ้าหมู่เจ้าคณะ คณาจารย์ ผู้อวดอ้างตนว่าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะสามารถตัดความสงสัยของเราได้ ทรงดำริอย่างนี้แล้ว จึงเสด็จไปหา มักขลิโคสาล ตรัสถามว่า " ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีอยู่หรือเปล่า "
มักขลิโคสาลตอบว่า " ขอถวายพระพร ไม่มี…คือพวกใดเคยเป็นกษัตริย์ หรือพราหมณ์ เวศย์ ศูทร จัณฑาล คนเทหยากเยื่ออยู่ในโลกนี้ เวลาไปถึงโลกหน้าก็จะเกิดเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ เวศย์ ศูทร จัณฑาล คนเทหยากเยื่ออีกการทำบุญไม่มีประโยชน์อะไร "
พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสอีกว่า " ถ้าอย่างนี้ พวกใดที่มีมือด้วนเท้าด้วนในโลกนี้ พวกนั้นไปเกิดในโลกหน้า ก็จะต้องมีมือด้วนเท้าด้วยอีกน่ะซี "
มักขลิโคสาลตอบว่า " อย่างนั้น มหาบพิตร คือผู้ใดได้รับโทษถูกตัดมือเท้าในโลกนี้ เวลาผู้นั้นไปเกิดในโลกหน้า ก็จะถูกตัดมือตัดเท้าอีก"
พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า " โยมไม่เชื่อ "
มักขลิโคสาลก็นิ่ง พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสต่อไปว่า " นี่แนะ มักขลิโคสาล ข้าพเจ้าถามท่านว่าผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วมีอยู่หรือ ท่านก็แก้เสียอย่างนี้ ท่านเป็นคนโง่เขลา พวกใดทำกรรมที่จะให้เกิดไว้อย่างใด ๆ พวกนั้นก็ต้องไปเกิดด้วยกรรมอย่างนั้น ๆ "
ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสแก่พวกอำมาตย์ขึ้นว่า " นี่แน่ะ ท่านทั้งหลาย เวลานี้ก็ค่ำแล้วเราจะไปหาสมณพราหมณ์ เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ใด ๆ อีก ผู้ใดจะอาจสนทนากับเราได้ อาจตัดความสงสัยของเราได้"
ตรัสอย่างนี้หลายหน แต่พวกอำมาตย์ก็พากันนิ่งอยู่ ไม่รู้ว่าจะกราบทูลอย่างไร ท้าวเธอก็เสด็จกลับเข้าสู่พระนคร ต่อจากนั้นไป พระองค์ก็ได้ไปเที่ยวไต่ถามสมณพราหมณ์ เจ้าหมู่เจ้าคณะคณาจารย์ ในที่นั้น ๆ ไม่เลือกหน้า พวกใดแก้ปัญหาของท้าวเธอไม่ได้ พวกนั้นก็หนีไป พวกที่ไม่หนีก็สู้ทนนิ่งอยู่ แต่โดยมากได้พากันหนีไปสู่ป่าหิมพานต์ เมืองสาคลนครจึงเป็นเหมือนกับว่างจากสมณพราหมณ์อยู่ถึง 12 ปี
พระยามิลินท์ถามปัญหาอย่างไร จึงไม่มีนักบวชตอบโต้ได้ ดูจากคำถามน่าจะเป็นปัญหาที่ใช้ตรรกศาสตร์นำหน้า เหมือนกับที่โสเครตีสนักปรัชญากรีกเที่ยวถามปัญหากับผู้ที่อ้างตนว่าเป็นนักปราชญ์ พระยามิลินท์คงจะได้ศึกษาตรรกศาสตร์อย่างแตกฉานและเชี่ยวชาญทุกสาขา นักบวชมิใช่นักปรัชญาจึงไม่อยากยุ่งด้วย แต่ที่น่าคิดคือ 12 ปี จะไม่มีนักบวชเลยหรือ ไม่น่าจะเป็นไปได้ น่าจะเป็นเพียงสัญลักษณ์ว่า นักบวชยังมีอยู่แต่ไม่มีใครโต้วาทีสู้พระยามิลินท์
ในสัมยนั้นอ้างว่ามีพระอรหันต์ 100 โกฏิ จะไม่มีผู้สนทนาธรรมกับพระยามิลินท์ได้เลยหรืออย่างไร พระอรหันต์ต้องขึ้นไปเชิญมหาเสนะเทพบุตรที่อยู่ในเกตุมดีวิมาน ทางด้านตะวันออกแห่งเวชยันตวิมานของพระอินทร์ ดังคำของพระอัสสคุตต์ที่ทูลกับพระอินทร์ว่า " เวลานี้มหาราชาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า " มิลินท์ " อยู่ในชมพูทวีป เป็นผู้ได้เรียนศาสตร์ต่าง ๆ ไว้เป็นอันมาก ฉลาดเจรจา ไม่มีใครสู้ได้ ได้เที่ยวเบียดเบียนพระภิกษุสงฆ์ ด้วยการถามปัญหาตามลัทธิเดียรถีย์ ขอถวายพระพร" พระอัสสคุตตเถระยังกล่าวกับมหาเสนเทพบุตรว่า " ท่านผู้หาทุกข์มิได้ พวกเราได้พิจารณาดูตลอดมนุษยโลกเทวโลกแล้ว ไม่เห็นมีผู้อื่นนอกจากท่าน ที่จะสามารถทำลายถ้อยคำของพระเจ้ามิลินท์ได้ สามารถเชิดชูพุทธศาสนาไว้ได้ พระภิกษุสงฆ์จึงได้ขึ้นมาอ้อนวอนท่าน ขอท่านจงลงไปเกิดในมนุษยโลก ยกย่องพระพุทธศาสนาไว้เถิด "
การเตรียมการของคณะสงฆ์ต้องพึ่งพาพระอินทร์และมหาเสนเทพบุตร ไม่มีใครตอบปัญหาได้นอกจากมหาเสน นี่อะไรกัน ทำไมจึงกลายเป็นนิทานไป ทั้งๆที่เนื้อหาในมิลินทปัญหาก็คือเรื่องทั่วไปในพระพุทธศาสนา พระอรหันต์ผู้บรรลุปฏิสัมภิทาก็น่าจะตอบได้อยู่แล้ว ทำไมต้องมหาเสนเทพบุตร แต่เอาเถอะพระอรรถกถาจารย์ท่านแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นเป็นอุปมาว่า แม้พระอรหันต์ท่านก็ไม่ตอบปัญหาบางประการ ต้องอาศัยคนคู่เวรกันอย่างมหาเสนเทพบุตรและพระยามิลินท์ที่เคยเป็นศิษย์และอาจารย์กันมาก่อน
สงฆ์ลงทัณฑกรรมพระโรหนเถระ
เมื่อมาถึงแล้วพระอัสสคุตตเถระจึงถามพระภิ กษุสงฆ์เหล่านั้นว่า " ดูก่อนท่านทั้งหลาย ภิกษุที่ไม่ได้มาในที่ประชุมสงฆ์นี้มีอยู่หรือ "
มีพระภิกษุองค์หนึ่งตอบว่า " มีอยู่ขอรับ คือพระโรหนเถระท่านไปเข้านิโรธสมาบัติ อยู่ที่ภูเขาหิมพานต์ได้ 7 วันแล้ว พวกเราควรจะใช้ทูตไปหา "
พอดีในขณะนั้นพระโรหนเถระ ก็ออกจากนิโรธสมาบัติ นึกรู้ความประสงค์พระอรหันต์ทั้งหลายว่าต้องการพบเรา จึงได้หายวับจากภูเขาหิมพานต์ มาปรากฏที่ถ้ำรักขิตเลณะ ต่อหน้าพระอรหันต์ 100 โกฏิ จึงกล่าวขึ้นว่า " นี่แน่ะ ท่านโรหนะ เมื่อพระศาสนากำลังถูกกระทบกระเทือน เหตุไรท่านจึงไม่รู้จักช่วยเหลือไม่เหลียวแลกิจเหมือนสงฆ์ "
พระโรหนะจึงตอบว่า " เป็นเพราะข้าพเจ้ามิได้กำหนดจิตไว้ "
พระสงฆ์จึงบอกว่า " ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะลงทัณฑกรรมท่าน เพราะเหตุที่ท่านไม่ได้ใส่ใจในกิจของพระศาสนา "
พระโรหนะจึงถามอีกว่า " จะลงทัณฑกรรมข้าพเจ้าอย่างไร "
พระสงฆ์ตอบว่า " นี่แน่ะ ท่านโรหนะ มีบ้านพราหมณ์ตำบลหนึ่งชื่อว่า ชังคละ ข้างป่าหิมพานต์มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อว่า โสนุตตระ อยู่ในบ้านนั้น เขาจะมีบุตรชื่อว่า นาคเสนกุมาร ท่านจงพยายามไปบิณฑบาตที่ตระกูลนั้น ให้ตลอด 7 ปีกับ 10 เดือน นำเอานาคเสนกุมารออกบรรพชาให้ได้ เมื่อนาคเสนกุมารได้บรรพชาแล้วท่านจึงจะพ้นจากทัณฑกรรมนั้น"
ท่านแสดงอุปมาในเรื่องนี้ไว้อย่างไร เพราะเข้าฌานจนไม่สนใจภาระของสงฆ์ ในปัจจุบันเรามีพระสายวิปัสสนาธุระ และคันถธุระ พระวิปัสสนาไม่ค่อยสนใจความเป็นไปของคณะสงฆ์มุ่งแต่ความสงบสุขส่วนตน การบริหารกจการปล่อยให้เป็นภาระของพระคันถธุระ แต่พระโรหณะท่านก็ยอมรับการลงฑัณฑ์
มหาเสนะเทพบุตรจุติจากเทวโลก
ฝ่ายมหาเสนะเทพบุตร ก็ได้จุติจากเทวโลกลงมาถือกำเนิดในครรภ์ของนางพราหมณี ในขณะนั้นก็มีอัศจรรย์ 3 ประการปรากฏขึ้น คือ
1. บรรดาอาวุธทั้งหลาย ได้รุ่งเรืองเป็นแสงสว่าง
2. ฝนตกใหญ่นอกฤดูกาล
3. เมฆใหญ่ตั้งขึ้น
(ตอนนี้ใน ฉบับพิศดาร กล่าวว่า อัศจรรย์ทั้งนี้ด้วยบารมีของมหาเสนะเทพบุตรที่ได้กระทำมา บอกเหตุที่เกิดมานี้ว่า จะได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ไปถ้วน 5000 พระวัสสา)
ฉบับส.ธรรมภักดี ได้บรรยายต่อไปว่า “ลำดับนั้น พระโรหนเถระก็ไปเที่ยวบิณฑบาตที่ตระกูลนั้น เริ่มแต่วันนั้นไปตลอด 7 ปี กับ 10 เดือน แต่ไม่ได้อะไรเลย เพียงแต่การยกมือไหว้ หรือการแสดงความเคารพก็ไม่ได้ ได้แต่การด่าว่าเท่านั้น เมื่อล่วงมาจาก 7 ปีนั้น จึงได้เพียงคำไต่ถามเท่านั้นคือ อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อพราหมณ์นั้นกลับมาจากดูการงานนอกบ้าน ก็ได้พบพระเถระเดินสวนมา จึงถามว่า " นี่แน่ะ บรรพชิต ท่านได้ไปที่บ้านเรือนของเราหรือ "
พระเถระตอบว่า " ได้ไป " พราหมณ์จึงถามต่อไปว่า " ท่านได้อะไรบ้างหรือ "
ตอบว่า " ได้ " พราหมณ์นั้นนึกโกรธ จึงรีบไปถามพวกบ้านว่า "พวกท่านได้ให้อะไรแก่บรรพชิตนั้นหรือ"
เมื่อพวกบ้านตอบว่า ไม่ได้ให้อะไรเลย พราหมณ์ก็นิ่งอยู่
เวลารุ่งขึ้นวันที่สองพราหมณ์นั้นจึงไปยืนอยู่ที่ประตูบ้านด้วยคิดว่าวันนี้แหละบรรพชิตนั้นมา เราจักปรับโทษมุสาวาทให้ได้ พอพระเถระไปถึง พราหมณ์นั้นก็กล่าวขึ้นว่า "นี่แน่ะ บรรพชิต เมื่อวานนี้ท่านไม่ได้วัตถุสิ่งใดไปจากบ้านเรือนของเราเลย ทำไมจึงบอกว่าได้ การกล่าวมุสาวาทเช่นนี้ สมควรแก่ท่านแล้วหรือ "
พระโรหนะจึงตอบว่า " พราหมณ์ เราเข้าสู่บ้านเรือนของท่านตลอด 7 ปีกับ 10 เดือนแล้วยังไม่เคยได้อะไรเลย พึ่งได้คำถามของท่านเมื่อวานนี้เพียงคำเดียวเท่านั้น เราจึงตอบว่าได้"
เมื่อพราหมณ์ได้ฟังดังนี้ก็ดีใจ จึงคิดว่า พระองค์นี้เพียงแต่ได้คำปราศรัยคำเดียวเท่านั้น ก็ยังบอกในที่ประชุมชนว่าได้ ถ้าได้ลาภอย่างใดอย่างหนึ่งไป จะไม่สรรเสริญหรือ นี่เพียงแต่ได้คำถามคำเดียวเท่านั้น ก็ยังสรรเสริญ เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว จึงสั่งพวกบ้านว่า พวกท่านจงเอาข้าวของเราถวายบรรพชิตนี้ วันละ 1 ทัพพีทุกวันไป ต่อนั้นพราหมณ์ก็เลื่อมใสต่ออิริยาบถ และความสงบเสงี่ยมของพระเถระยิ่งขึ้นเป็นลำดับไป จึงขอนิมนต์ว่า " ขอท่านจงมาฉันอาหารประจำ ที่บ้านเรือนของข้าพเจ้าทุกเช้าไป"
พระเถระก็รับด้วยอาการนิ่งอยู่พราหมณ์ก็ได้ถวายอาหารคาวหวาน อันเป็นส่วนของตนแก่พระเถระทุกเช้าไป พระเถระฉันแล้วเวลาจะกลับ ก็กล่าวพระพุทธพจน์วันละเล็กน้อยทุกวันไป
คราวนี้จะย้อนกล่าวถึงนางพราหมณีนั้นอีก กล่าวคือ นางพราหมณีนั้นล่วงมา 10 เดือน ก็คลอดบุตรให้ชื่อว่า"นาคเสน"