4.ผลศรัทธา อานิสงส์ของการมีศรัทธา
ผล หมายถึงผลลัพธ์ อานิสงส์ ประโยชน์ที่ได้จากการพิจารณาหรือจากการปฏิบัติตามทั้งประโยชน์ที่ได้รับในปัจจุบัน การมีเพียงความศรัทธาเลื่อมใสเพียงอย่างเดียวก็มีผลทำให้เกิดในเทวโลกสวรรค์ได้ที่ปรากฎในอรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ยมกวรรค พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม 1 ภาค 2 ตอน 1 - หน้าที่ 42 ความว่า มัฏฐกุณฑลีทำใจให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าในขณะที่กำลังนอนป่วยหนัก กำลังนอนผินหน้าไปข้างในเรือนพระศาสดาทรงทราบว่าไม่เห็นพระองค์, จึงได้เปล่งพระรัศมีในวาบหนึ่งมาณพคิดว่า "นี่แสงสว่างอะไร" จึงนอนพลิกกลับมา เห็นพระศาสดาแล้ว คิดว่า "เราอาศัยบิดาเป็นอันธพาล จึงไม่ได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าเห็นปานนี้แล้ว ทำความขวนขวายด้วยกาย หรือถวายทาน หรือฟังธรรม, เดี๋ยวนี้แม้แต่มือสองข้างของเราก็ยกไม่ไหว กิจที่ควรทำอย่างอื่นไม่มี" ดังนี้แล้ว ได้ทำใจเท่านั้นให้เลื่อมใส พระศาสดาทรงพระดำริว่า "พอละ ด้วยการที่มาณพนี้ทำใจให้เลื่อมใส ประมาณเท่านั้น" ก็เสด็จหลีกไปแล้ว เมื่อพระตถาคตพอกำลังเสด็จลับตาไป, มาณพนั้นมีใจเลื่อมใส ทำกาละแล้ว เป็นประดุจดังว่า หลับแล้วกลับตื่นขึ้น ไปเกิดในวิมานทองสูงประมาณ 30 โยชน์ในเทวโลก
อีกเรื่องหนึ่งในอรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปาปวรรค เล่ม 1 ภาค 2 ตอน 3 หน้าที่ 11 ความว่า หญิงคนหนึ่งถวายข้าวตอกแก่พระมหากัสสปด้วยความเสื่อมใสก็ไปเกิดในเทวโลกได้ความว่า ท่านพระมหากัสสปอยู่ที่ปิปผลิคูหาเข้าฌาณแล้ว ออกในวันที่ 7 ตรวจดูที่เที่ยวไปเพื่อภิกษาด้วยทิพยจักษุ เห็นหญิงรักษานาข้าวสาลีคนหนึ่ง เด็ดรวงข้าวสาลีทำข้าวตอกอยู่ พิจารณาว่า" หญิงนี้มีศรัทธาหรือไม่หนอ " รู้ว่า " มีศรัทธา " ใคร่ครวญว่า " เธอจักอาจ เพื่อทำการสงเคราะห์แก่เราหรือไม่หนอ " รู้ว่า " กุลธิดาเป็นหญิงแกล้วกล้าจักทำการสงเคราะห์เรา,ก็แลครั้นทำแล้วจักได้สมบัติ เป็นอันมาก " จึงครองจีวรถือบาตร ได้ยืนอยู่ที่ใกล้นาข้าวสาลี กุลธิดาพอเห็นพระเถระก็มีจิตเลื่อมใส มีสระรีอันปีติ 5 อย่างถูกต้องแล้ว กล่าวว่านิมนต์หยุดก่อน เจ้าข้า" ถือข้าวตอกไปโดยเร็ว เกลี่ยลงในบาตรของพระเถระแล้ว ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ได้ทำความปรารถนาว่า " ท่านเจ้าข้า ขอดิฉันพึงเป็นผู้มีสวนแห่งธรรมที่ท่านเห็นแล้ว "
พระเถระได้ทำอนุโมทนาว่า "ความปรารถนาอย่างนั้น จงสำเร็จ" ฝ่ายนางไหว้พระเถระแล้ว พลางนึกถึงทานที่ตนถวายแล้วกลับไป ก็ในหนทางที่นางเดินไป บนคันนา มีงูพิษร้ายนอนอยู่ในรูแห่งหนึ่ง งูไม่อาจขบกัดแข้งพระเถระอันปกปิดด้วยผ้ากาสายะได้ นางพลางระลึกถึงทานกลับไปถึงที่นั้น งูเลื้อยออกจากรูกัดนางให้ล้มลง ณ ที่นั้นเอง นางมีจิตเลื่อมใส ทำกาละแล้ว ไปเกิดในวิมานทองประมาณ 30 โยชน์ในภพดาวดึงส์ มีอัตภาพประมาณ 3 คาวุต ประดับเครื่องอลังการทุกอย่าง เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น (อ.ขุ ธ เล่ม 1 ภาค 2 ตอน 3 หน้าที่ 11)
สทฺธีธ วิตฺตํ ปุริสสฺส เสฏฺฐํ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ
สจฺจํ หเว สาธุตรํ รสานํ ปญญาชีวี ชีวิตมาหุ เสฏฺฐนฺติ ฯ
ศรัทธาเป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจอย่างประเสริฐของคนในโลกนี้ ธรรมที่บุคคลประพฤติดีแล้วนำความสุขมาให้ ความจริงเท่านั้นเป็นรสที่ดียิ่งกว่ารสทั้งหลาย คนที่เป็นอยู่ด้วยปัญญานักปราชญ์ทั้งหลายกล่าวว่ามีชีวิตประเสริฐ ฯ (สํส 15/203/58, ขุ ขุทฺทก 25/311/360)
ศรัทธายังมีผลเพื่อความเจริญดังที่ปรากฏในวัฑฒิสูตรอังคุตรนิกาย ปัญจกนิบาต(องฺปญจก 22/63/91) ความว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้เจริญด้วยธรรมเป็นเหตุเจริญ 5 ประการ ชื่อว่าย่อมเจริญด้วยธรรมเป็นเหตุเจริญอย่างประเสริฐ ชื่อว่าเป็นผู้ยึดถือสาระ และยึดถือสิ่งประเสริฐแห่งกาย ธรรมเป็นเหตุเจริญ 5 ประการเป็นไฉนคือ ย่อมเจริญด้วยศรัทธา ย่อมเจริญด้วยศีลย่อมเจริญด้วยสุตะ ย่อมเจริญด้วยจาคะ ย่อมเจริญด้วยปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้เจริญด้วยธรรมเป็นเหตุเจริญ 5 ประการนี้แล ชื่อว่าย่อมเจริญด้วยธรรมเป็นเหตุเจริญอย่างประเสริฐชื่อว่าเป็นผู้ยึดถือสาระ และยึดถือสิ่งประเสริฐแห่งกาย อริยสาวกผู้ใด ย่อมเจริญด้วยศรัทธา ศีล สุตะ จาคะ และปัญญาทั้งสองฝ่าย อริยสาวกผู้เช่นนั้น เป็นสัปบุรุษ มีปรีชาเห็นประจักษ์ ชื่อว่าย่อมยึดถือสาระแห่งตนในโลกนี้ไว้ได้ทีเดียว
ในสัทธานิสังสสูตร อังคุตรนิกาย ปัญจกนิบาต ความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้มีศรัทธา ย่อมมีอานิสงส์ 5 ประการคือ (1)สัปบุรุษผู้สงบในโลกทุกๆ ท่าน เมื่อจะอนุเคราะห์ย่อมอนุเคราะห์ผู้มีศรัทธาก่อนผู้อื่น ย่อมไม่อนุเคราะห์ผู้ไม่มีศรัทธาก่อนผู้อื่น (2)เมื่อจะเข้าไปหา ย่อมเข้าไปหาผู้มีศรัทธาก่อนผู้อื่น ย่อมไม่เข้าไปหาผู้ไม่มีศรัทธาก่อนผู้อื่น (3) เมื่อจะต้อนรับ ย่อมต้อนรับผู้มีศรัทธาก่อนผู้อื่น ย่อมไม่ต้อนรับผู้ไม่มีศรัทธาก่อนผู้อื่น (4) เมื่อจะแสดงธรรม ย่อมแสดงธรรมแก่ผู้มีศรัทธาก่อนผู้อื่น ย่อมไม่แสดงธรรมแก่ผู้ไม่มีศรัทธาก่อนผู้อื่น (5) กุลบุตรผู้มีศรัทธาเมื่อไปแล้ว ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรผู้มีศรัทธาย่อมมีอานิสงส์ 5 ประการนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนต้นไทรใหญ่ที่ทางสี่แยก มีพื้นราบเรียบ ย่อมเป็นที่พึ่งของพวกนกโดยรอบ ฉันใด กุลบุตรผู้มีศรัทธาก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเป็นที่พึ่งของชนเป็นอันมาก คือ ภิกษุ ภิกษุณีอุบาสก อุบาสิกา ฯ ต้นไม้ใหญ่ สล้างด้วยกิ่ง ใบ และผล มีลำต้นแข็งแรง มีรากมั่นคง สมบูรณ์ด้วยผล ย่อมเป็นที่พึ่งของนกทั้งหลายฝูงนกย่อมอาศัยต้นไม้นั้น ซึ่งเป็นที่รื่นรมย์ใจ ให้เกิดสุขผู้ต้องการความร่มเย็น ย่อมเข้าไปอาศัยร่มเงา ผู้ต้องการผลก็ย่อมบริโภคผลได้ ฉันใด ท่านผู้ปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ ไม่มีอาสวะ เป็นบุญเขตในโลกย่อมคบหาบุคคลผู้มีศรัทธา ซึ่งสมบูรณ์ด้วยศีล ประพฤติถ่อมตน ไม่กระด้างสุภาพ อ่อนโยน มีใจมั่นคง ฉันนั้นเหมือนกัน ท่านเหล่านั้น ย่อมแสดงธรรมเครื่องบรรเทาทุกข์ทั้งปวงแก่เขา เขาเข้าใจทั่วถึงธรรมนั้นแล้ว ย่อมเป็นผู้หมดอาสวกิเลส ปรินิพพาน (องฺปญจก22/38/45)
ภิกษุผู้มีศรัทธาย่อมทำให้หมู่คณะงามดังที่ปรากฎในสังฆโสภณสูตร อังคุตรนิกาย จตุกกนิบาต ความว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล 4 จำพวกนี้ เป็นผู้เฉียบแหลม ได้รับแนะนำดีแล้ว เป็นผู้แกล้วกล้า เป็นพหูสูต เป็นผู้ทรงธรรม ปฏิบัติธรรม สมควรแก่ธรรม ย่อมยังหมู่ให้งามคือภิกษุ (1) ภิกษุณี (2) อุบาสก (3) อุบาสิกา (4) ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลสี่จำพวกนี้แล เป็นผู้เฉียบแหลม ได้รับแนะนำดีแล้ว เป็นผู้แกล้วกล้า เป็นพหูสูตเป็นผู้ทรงธรรม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ย่อมยังหมู่ให้งาม ฯ บุคคลใด เป็นผู้ฉลาด แกล้วกล้า เป็นพหูสูต ผู้ทรงธรรม ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม บุคคลเช่นนั้น เราเรียกว่าผู้ยังหมู่ให้งาม ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา เป็นผู้มีศรัทธา สมบูรณ์ด้วยศีล เป็นพหูสูตเหล่านี้แล ย่อมยังหมู่ให้งาม แท้จริง บุคคลเหล่านี้ เป็นผู้ยังหมู่ให้งาม ฯ (องฺ จตุกฺก 21/7/10)
5.อุปายศรัทธา วิธีปฏิบัติด้วยศรัทธา
อุปายะ หมายถึงอุบายวิธี แนวปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงนิสสรณะหรือผลได้แก่บุพพภาคปฏิปทา ข้อปฏิบัติเบื้องต้นอันเป็นบรรทัดฐานแห่งอริยมรรคและนิพพาน ผู้มีศรัทธาย่อมเป็นสาเหตุให้ทำบุญอย่างอื่นมีทานเป็นต้นและย่อมได้รับผลคือความสุขในเทวโลกดังเรื่องในอิตถิวิมานวัตถุ ปีฐวรรควรรณนา อรรถกถาปฐมปีฐวิมาน ว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกะ กรุงสาวัตถี พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงถวายอสทิสทาน 7 วัน แด่พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน ท่านอนาถบิณฑิกะมหาเศรษฐี ก็ถวาย 3 วัน พอสมควรแก่อสทิสทานนั้น นางวิสาขามหาอุบาสิกา ก็ถวายมหาทานเหมือนอย่างนั้น ประวัติความเป็นไปแห่งอสทิสทาน ได้ปรากฏทั่วชมพูทวีป ครั้งนั้น มหาชนยกเรื่องขึ้นพูดกันในที่นั้น ๆ ว่า ทานจักมีผลมาก ด้วยการบริจาคสมบัติอันโอฬารอย่างนี้ หรือ ๆ จักมีผลมาก แม้ด้วยการบริจาคพอสมควรแก่ทรัพย์สมบัติของตน
ภิกษุทั้งหลายฟังคำนั้นแล้ว ก็กราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทานมิใช่จักมีผลมาก ด้วยการถึงพร้อมแห่งไทยธรรมอย่างเดียว ที่แท้ ทานจักมีผลมาก ก็ด้วยความถึงพร้อมแห่งจิตที่เลื่อมใส และด้วยความถึงพร้อมแห่งเขต (ทักขิไณยบุคคล) เพราะฉะนั้น ทานวัตถุเพียงสักข้าวกำมือหนึ่งก็ดี เพียงผ้าเก่าผืนหนึ่งก็ดี เพียงเครื่องลาดทำด้วยหญ้าก็ดี เพียงเครื่องลาดทำด้วยใบไม้ก็ดีเพียงสมอดองน้ำมูตรเน่าก็ดี บุคคลมีจิตเลื่อมใสแล้ว ตั้งไว้ในทักขิไณยบุคคล ทานแม้นั้น ก็จักมีผลมาก รุ่งเรืองมาก แผ่ไพศาลมาก จริงอย่างนั้นท้าวสักกะจอมทวยเทพก็ตรัสคำเป็นคาถาดังนี้ว่า
นตฺถิ จิตฺเต ปสนฺนมฺหิ อปฺปิกา นาม ทกฺขิณา
ตถาคเต วา สมฺพุทฺเธ อถวา ตสฺส สาวเก
เมื่อจิตเลื่อมใสในพระตถาคตสัมพุทธเจ้า หรือพระสาวกของพระสัมพุทธเจ้านั้น ทักษิณาไม่ชื่อว่าน้อยเลย
ถ้อยคำนั้นได้แพร่ไปทั่วชมพูทวีป มนุษย์ทั้งหลาย พากันให้ทานตามสมควรแก่ทรัพย์สมบัติ แก่สมณพราหมณ์คนยากไร้ คนเดินทางไกลวณิพกและยาจกทั้งหลาย ตั้งน้ำดื่มไว้ที่ลานเคหะปูอาสนะไว้ที่ซุ้มประตู สมัยนั้นพระเถระผู้ถือปิณฑปาติกธุดงค์เป็นวัตรรูปหนึ่ง มีอากัปกิริยาก้าวไป ถอยกลับ เหลียว แล คู้แขน เหยียดแขน น่าเลื่อมใส ทอดจักษุลง ถึงพร้อมด้วยอิริยาบถ เที่ยวบิณฑบาต ก็มาถึงเรือนหลังหนึ่งในเวลาจวนแจ ในเรือนหลังนั้น กุลธิดาผู้หนึ่ง ถึงพร้อมด้วยศรัทธาเห็นพระเถระ ก็เกิดความเคารพความนับถือมาก เกิดปีติโสมนัสอย่างโอฬาร จึงนิมนต์ให้ท่านเข้าไปยังเรือน ไหว้ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ จัดตั่งของตน ปูผ้าเนื้อเกลี้ยงสีเหลืองบนตั่งนั้นถวาย เมื่อพระเถระนั่งเหนือตั่งนั้นแล้ว นางคิดว่าบุญเขตสูงสุดนี้ ปรากฏแก่เราแล้ว ก็มีจิตเลื่อมใสเลี้ยงดูด้วยอาหารตามสมควรแก่ทรัพย์สมบัติ ทั้งนางก็ถือพัดพัดถวาย พระเถระฉันเสร็จแล้ว กล่าวธรรมีกถาประกอบด้วยทานมีถวายอาสนะถวายอาหารเป็นต้นแล้วก็ไป สตรีผู้นั้นพิจารณาถึงทานของตนและธรรมกถานั้น อันปีติถูกต้องกำซาบไปทั่วเรือนร่าง จึงได้ถวายตั่งแม้นั้นแก่พระเถระ สมัยต่อมาจากนั้น สตรีผู้นั้นเกิดโรคอย่างหนึ่งตาย ไปบังเกิดในวิมานทองขนาด 12 โยชน์ในภพดาวดึงส์นางมีเทพอัปสร 1,000 เป็นบริวาร ก็ด้วยอำนาจที่นางถวายตั่งเป็นทาน จึงบังเกิดบัลลังก์ เตียง, ตั่ง แท่นทอง ลอยไปในอากาศแล่นเร็ว ชั้นบนมีราชรถทรวดทรงดังเรือนยอด ด้วยเหตุนั้น วิมานนี้จึงเรียกว่า ปีฐวิมาน แท้จริงวิมานตั่งนั้น เป็นทองส่องให้เห็นความเหมาะสมกับกรรม เพราะนางลาดผ้าสีทองถวาย ชื่อว่า แล่นไปเร็ว เพราะกำลังปีติแรง ชื่อว่าไปได้ตามชอบใจ เพราะนางถวายแก่ทักขิไณยบุคคลโดยจิตชอบ ได้ชื่อว่าประกอบด้วยความงดงาม น่าเลื่อมใสพร้อมสรรพ เพราะสมบัติคือความเลื่อมใสโอฬาร
ต่อมาวันมหรสพวันหนึ่งเมื่อเทวดาทั้งหลายพากันไปสวนนันทนวันเพื่อเล่นกรีฑาในอุทยาน ด้วยอานุภาพอันเป็นทิพย์ของตน ๆเทวดาองค์นั้น ทรงนุ่งผ้าทิพย์ประดับด้วยทิพยาภรณ์ มีเทพอัปสร 1,000 เป็นบริวาร ก็ออกจากภพของตน ขึ้นสู่วิมานตั่งนั้น ส่องแสงสว่างดั่งดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์โดยรอบ ด้วยเทวฤทธิ์ยิ่งใหญ่ด้วยสิริโสภาคย์ตระการไปยังอุทยาน ก็สมัยนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เที่ยวเทวจาริกไปโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง เข้าไปยังภพดาวดึงส์ แสดงองค์ไม่ไกลจากเทวดาองค์นั้น เทวดาองค์นั้น เห็นท่านก็มีความเลื่อมใสมีความเคารพมีกำลังพรั่งพร้อม จึงรีบลงจากบัลลังก์เข้าไปหาพระเถระกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์แล้วยืนนมัสการประคองอัญชลีอันรุ่งเรืองด้วยทศนัขสโมธาน (ชุมนุม 10 นิ้ว) พระเถระเห็นประจักษ์ถึงกุศลและอกุศลตามที่เทวดาองค์นั้นและสัตว์เหล่าอื่นสั่งสมไว้ ด้วยความแตกฉานแห่ง กำลังปัญญา โดยอานุภาพแห่งยถากัมมูปคญาณ (ญาณที่รู้ถึงสัตว์ทั้งหลายเข้าถึงภพนั้น ๆ ตามกรรม) ของท่าน เหมือนผลมะขามป้อม ที่วางไว้บนฝ่ามือ ก็จริงอยู่ ถึงอย่างนั้น เพราะเหตุที่ปัญญาทบทวนเฉพาะภพในอดีต และกรรมตามที่สั่งสมไว้ ส่วนมากสำเร็จโดยธรรมดาแก่เทวดาทั้งหลายในลำดับอุปปัตติภพเท่านั้นว่า เราจุติจากไหนหนอจึงอุบัติในภพนี้ เราทำกุศลกรรมอะไรหนอ จึงได้สมบัตินี้ และญาณย่อมเกิดแก่เทวดานั้น ตามเป็นจริงฉะนั้น พระเถระประสงค์จะให้เทวดาองค์นั้นกล่าวกรรมที่ทำไว้แล้ว กระทำผลกรรมให้ประจักษ์แก่โลกพร้อมทั้งเทวโลกจึงถามว่า“ดูก่อนเทพธิดา ผู้ประดับองค์ ทรงมาลัยดอกไม้ทรงพัสตราภรณ์สวยงาม วิมานตั่งทองของท่านโอฬารเร็วดังใจ ไปได้ตามปรารถนา ท่านส่องแสงประกายดังสายฟ้าแลบลอดหลืบเมฆเพราะบุญอะไร วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้เพราะบุญอะไร ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก จึงเกิดแก่ท่าน ดูก่อนเทพี ผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ท่านทำบุญอะไร เพราะบุญอะไรท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ
เทวดานั้นดีใจ ถูกท่านพระโมคคัลลานะถาม ครั้นแล้วจึงพยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่าครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ดีฉันได้ถวายอาสนะแก่เหล่าภิกษุที่มาถึง เรือนได้กราบไหว้ ไค้ทำอัญชลี (ประนมมือ) และได้ถวายทานตามกำลังเพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดีฉัน และโภคะทุกอย่างที่น่ารัก จึงเกิดแก่ดีฉัน ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอกแก่ท่าน ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ ดีฉันได้ทำบุญอันใดไว้เพราะบุญอันนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ (อ ขุวิมาน เล่ม 2 ภาค 1 - หน้าที่ 9)
ดังนั้นการที่คนจะทำบุญมีการถวายทานเป็นต้นจึงเริ่มต้นด้วยศรัทธา เพราะเมื่อมีศรัทธาเลื่อมใสแล้วก็ทำให้ทำบุญอันเป็นเหตุให้ได้สมบัติ ตามสมควรแก่การกระทำ สมตามพุทธวจนะที่ว่า
สทฺโธ สีเลน สมฺปนฺโน ยโสโภคสมปฺปิโต
ยํ ยํ ปเทสํ ภชติ ตตฺถ ตตฺเถว ปูชิโต
ผู้มีศรัทธา ประกอบด้วยศีล เพียบพร้อมด้วยยศและโภคะ จะไปสู่ถิ่นใด ๆ ก็มีคนบูชาในถิ่นนั้น ๆ (ขุ ธ 25/31/55)