พอได้ยินคำว่าปรัชญาหลายท่านอาจเริ่มปวดหัว เพราะปรัชญาถูกทำให้เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก คนที่เรียนมาทางปรัชญามักจะพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ถ้าบอกว่าปรัชญาก็คือคำเดียวกับปัญญานั่นเอง ปรัชญาตามความหมายดั้งเดิมคือการแสวงหาหรือแสดงความรักปัญญาหรือความรู้ นักปรัชญาก็คือผู้ดำเนินชีวิตในระบบปรัชญาหรืออีกนัยหนึ่งนักปรัชญาคือผู้เผชิญความยุ่งยากด้วยความสุขุมคันภีรภาพด้วยจิตใจที่สงบ ปัญหาของนักปรัชญาในยุคแรกๆมักจะถกเถียงกันในเรื่องของความจริง ความรู้เป็นต้น วิธีการที่ใช้คือเหตุผลหรือตรรกศาสตร์ ปัญหาทางปรัชญาในปัจจุบันก็คือเรื่องที่ยังหาคำตอบได้ไม่ชัดเจนหรือยังหาทางออกไม่ได้
มีหลายปัญหาเกิดขึ้นในแต่ละวัน ความขัดแย้งทางความคิดมีให้เห็นตามสื่อต่างๆ สถานการณ์ในแต่ละวันเหมือนกับจะเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องเลือกข้างว่าจะยืนอยู่ข้างไหนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย พวกที่อยู่ตรงกลางเริ่มจะวางตัวอยู่ในสังคมได้ยากเต็มที แม้แต่การนั่งรถแท็กชีก็ต้องระวังว่าคนขับรถอยู่ข้างไหนอยู่ฝ่ายเสื้อแดงที่กำลังกดดันให้รัฐบาลยุบสภา หรืออยู่ข้างฝ่ายรัฐบาลที่ต้องการให้นายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ต่อไป บางครั้งการเสนอความเห็นกับอีกฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอาจเป็นอันตรายได้ เห็นด้วยกับเสื้อแดงก็ลำบากใจ เห็นใจท่านนายกให้อยู่ต่อก็อึดอัด สถานการณ์แบบนี้ประชาชนคนไทยกำลังประสบสภาวะที่ใกล้บ้าเข้าไปทุกที
การที่จะอธิบายปัญหานี้ ควรทราบแนวคิดของคนซึ่งพอจะแบ่งออกได้เป็น 5 กลุ่ม กลายเป็นแนวคิดของคนทั้งห้ากลุ่ม ขอเรียกตามแนวปรัชญาว่า “ปรัชญาห้ากระบวนทัศน์” ซึ่งเป็นแนวความเชื่อและความคิดพื้นฐานของคนในโลก
มนุษย์อาจมีความเชื่อ ความคิดเห็นแตกต่างกันไปในแต่ละยุคสมัย หรือแม้แต่ในยุคสมัยเดียวกันก็อาจจะมีความเชื่อ ความคิดแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการศึกษา สภาพสังคม และกระบวนทัศน์ของแต่ละคน พัฒนาการความคิดของมนุษย์แบ่งออกเป็นห้ากระบวนทัศน์มีรายละเอียดแห่งกระบวนทัศน์ดังนี้
กระบวนทัศน์ที่ ๑ กระบวนทัศน์ดึกดำบรรพ์ เกิดขึ้นในยุคแรก มนุษย์ยังมีชีวิตอยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเผชิญภัยภัยธรรมชาติจึงแสวงหาที่พึ่ง แต่หาคำตอบไม่ได้จึงเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้ดลบันดาลให้เกิดอันตรายต่างๆ การแก้ปัญหาจึงยึดน้ำพระทัยเบื้องบนเป็นหลักปฏิบัติ การแก้ปัญหาต้องทำให้ถูกพระทัยของเบื้องบน ความเชื่อว่าโลกมีกฎ เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมาจากน้ำพระทัยของเบื้องบน การปฏิบัติจึงเป็นการกระทำให้ถูกพระทัยมากที่สุด การปฏิบัติจึงเป็น การทำดีในโลกนี้ไว้ โลกหน้าจะดีไปเอง
แม้ยุคดึกดำบรรพ์จะผ่านพ้นไปนานแล้วก็ตาม แนวคิดของคนในยุคนี้ยังคงมีอยู่ ยังมีการอ้อนวอนบวงสรวงเพื่อให้เทพเจ้าพอพระทัยจะได้ดลบันดาลให้ประสบกับสิ่งที่ตนต้องการ ในทางการเมืองมีคนบางกลุ่มพยายามอ้อนวอนขอให้ผู้มีอำนาจเบื้องบนเช่นพระอินทร์ พระนารายณ์เป็นต้นลงมาช่วยเหลือ
กระบวนทัศน์ที่ ๒ กระบวนทัศน์โบราณ ยึดเอากฎเกณฑ์ของโลกเป็นหลัก จึงพยายามค้นคว้าให้รู้กฎเกณฑ์ของโลกมากที่สุด และพยายามปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แม้จะไม่เข้าใจเหตุผลมากนัก การปฏิบัติมุ่งเพื่อความสุขในโลกนี้ การนับถือศาสนามาจากความเชื่อว่าเทพเจ้าก็ต้องเดินตามกฎและช่วยเหลือมนุษย์ตามกฎ
คนในกระบวนทัศน์นี้ยังคงยึดกฎและกติกาของโลก คือทุกอย่างต้องมีกฎเกณฑ์ แม้การทำงานหรือการดำเนินชีวิตก็พยายามเดินตามกฎและรักษากติกาให้มากที่สุด ปัจจุบันมีระบบกฎหมายเพื่อคอยควบคุมสังคมให้เป็นไปตามกติกา หากประเทศไม่มีกฎหมายความวุ่นวายย่อมจะตามมา แต่ก็มีคนบางกลุ่มพยายามทำผิดกฎหมาย ยิ่งทำผิดได้มากเท่าไหร่ดูเหมือนจะเป็นเหมือนกับได้รับชัยชนะ
กระบวนทัศน์ที่ ๓ กระบวนทัศน์ยุคกลาง เชื่อว่าโลกมีกฎเกณฑ์ แต่ยึดเอาความสุขในโลกหน้า โลกนี้จะอยู่อย่างไรไม่ค่อยเน้นความสำคัญนัก มุ่งปฏิบัติเพื่อผลในโลกหน้าเช่นการบำเพ็ญพรต การทรมานตนของนักบวช จึงทำให้เกิดลัทธิศาสนาขึ้นมากมาย
คนที่มีแนวคิดในกระบวนทัศน์นี้ไม่ค่อยคำนึงถึงปัจจุบันมากนัก แต่หวังผลในอนาคตมากกว่า ชีวิตการเป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นแทบไม่มีความหมาย เพราะผลที่หวังในชาติหน้ามากกว่า แม้ว่าบางคนจะพิกลพิการ ก็มิได้มีความทุกข์แต่ประการใด ยังคงมุ่งหน้าทำบุญ ทำความดีเพื่อที่จะได้รับผลคือความสุขในชาติหน้า พระพุทธศาสนามีแนวคิดแบบนี้มาก โดยเฉพาะในนิทานชาดกต่างๆ มักจะเห็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีด้วยความลำบากเช่นพระเวสสันดรเป็นต้น ต้องถูกเนรเทศไปอยู่ป่า ทนลำบากตรากตรำในฐานะนักบวชผู้บำเพ็ญพรต เพราะมีจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการบรรลุพระสัพพัญญุตญาณในชาติต่อไป ชาตินี้ลำบากไม่เป็นไร ชาติหน้าจะสบายไปเอง
ในสังคมโลกยุคปัจจุบันมีแนวคิดในกระบวนทัศน์นี้มากเช่นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ทนลำบากหลับนอนด้วยความลำบากอย่างยิ่งเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา และต้องการนำเสนอระบบการเมืองใหม่ ทั้งๆระบบการเมืองที่ใช้อยู่ในปัจจุบันก็ได้รับการยอมรับมีส่วนดีและคุณประโยชน์มากกว่าส่วนเสีย กลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้คำนึงถึงความทุกข์ในปัจจุบันแต่มองไปถึงอนาคตคือระบบการเมืองใหม่ที่ทางกลุ่มยืนยันว่าเป็นระบบการเมืองที่มีจุดด้อยมากที่สุด
กระบวนทัศน์ที่ ๔ กระบวนทัศน์ยุคใหม่ เชื่อว่าโลกมีกฎเกณฑ์ แต่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆขึ้นมากมายเพื่ออำนวยความสะดวกให้มนุษย์ จนแทบจะกล่าวได้ว่าวิทยาศาสตร์แก้ปัญหาทุกอย่างของมนุษย์ได้ ในด้านศาสนาหากศาสนาใดสามารถพิสูจน์ได้ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ก็เป็นที่น่าเชื่อถือ มีการนำเอาวิธีการทางเหตุผลมาอธิบายเพื่อยืนยันคำสอนในศาสนาที่ตนนับถือ
คนที่มีความเชื่อในกระบวนทัศน์นี้ส่วนหนึ่งเป็นพวกนักวิชาการคือทุกอย่างต้องสมเหตุสมผล พิสูจน์ได้ บางท่านถึงกับประกาศตนว่าไม่นับถือศาสนาใดๆเลย เพราะศาสนาขึ้นอยู่กับความเชื่อ ไม่ได้ใช้เหตุผลในการพิสูจน์เช่นความเชื่อเรื่องผีหรือวิญญาณที่บางศาสนามีความเชื่อ แต่ในในกระบวนทัศน์นี้ไม่เชื่อ เพราะผีพิสูจน์ไม่ได้ตามกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ ศาสนาที่มีความเชื่อเรื่องพระผู้เป็นเจ้ามักจะถูกคนในกระบวนทัศน์นี้โจมตีมากที่สุด เพราะพระเจ้าพิสูจน์ไม่ได้ ส่วนศาสนาที่ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้าก็ต้องได้รับการพิสูจน์ให้ได้ด้วยว่าไม่ขัดแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์
กระบวนทัศน์ที่ ๕ กระบวนทัศน์หลังนวยุค เริ่มสงสัยในวิทยาศาสตร์ว่าจะมีประโยชน์อย่างเดียวจริงหรือ เพราะแม้ว่าวิทยาศาสตร์จะสร้างสวรรค์ในโลกมนุษย์ได้ แต่ก็ทำลายมนุษย์ได้ด้วยเช่นกัน
คนที่ความเชื่อในกระบวนทัศน์นี้เกิดขึ้นจากการตั้งคำถามสงสัยในวิทยาศาสตร์ว่าสามารถทำให้มนุษย์มีความสุขได้จริงหรือ เช่นการสร่างเขื่อนที่ต้องมีการทำลายป่าไม้ ทำลายสิ่งแวดล้อมอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าทั้งหลายเป็นต้น บางโครงการต้องถูกยกเลิกไปเพราะผู้คนในท้องถิ่นต่อต้าน ทั้งๆที่ประโยชน์ของเขื่อนเมื่อสร้างเสร็จมีประโยชน์มาก วิทยาการและเทคโนโลยีที่นำมาสร้างก็สามารถทำให้เสร็จได้ภายในเวลาไม่นานนัก แม้แต่แนวคิดทางการเมืองบางประเทศก็เริ่มหันมาตั้งคำถามกับระบอบการปกครองว่าจริงหรือที่ระบอบประชาธิปไตยเป็นระบบการปกครองที่ดีที่สุด เพราะอาจเป็นระบบที่ทำให้คนทะเลาะกันมากที่สุดก็ได้
ในปัจจุบันจึงมีคนจำนวนหนึ่งย้อนกลับไปยังกระบวนทัศน์ดึกดำบรรพ์ โบราณ ยุคกลาง แนวคิดเรื่องการอ้อนวอนเทพเจ้าจึงมีให้เห็นมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยมีสำนักทรงเจ้า สำนักอาจารย์ทางไสยศาสตร์เป็นจำนวนมาก อาจารย์เหล่านั้นได้รับการยอมรับในระดับหนึ่ง ยังมีคนที่พยายามอธิบายชีวิตให้เข้ากับกฎเกณฑ์ของโลกของธรรมชาติ คนบางกลุ่มก็ไม่สนใจความทุกข์ในโลกนี้แต่มุ่งเพื่อความสุขในโลกหน้า ในขณะที่นักวิทยาศาสตร์บางท่านเริ่มหันกลับมาศึกษาหลักธรรมและแนวปฏิบัติของศาสนาเป็นต้น กระบวนทัศน์ทั้งห้า แม้จะอธิบายตามยุคสมัย แต่ถ้าหากนำแนวคิดทั้งห้ามาวิเคราะห์อีกครั้งจะเห็นได้ว่า ความคิดทั้งห้ากระบวนทัศน์นี้มีแทรกอยู่ในสังคมไทยคนบางพวกยังคงสวดอ้อนวอนขอให้เทพเจ้าดลบันดาลให้ตนประสบความสำเร็จเช่นการก่อกำเนิดของจตุคามรามเทพ ก็เพราะคนเชื่อว่าองค์จตุคามจะดลบันดาลให้ตนมีความร่ำรวยจึงเกิดจตุคามรามเทพหลายรุ่นเช่นเงินไหลมา โคตรเศรษฐี เป็นต้น ในทางการเมืองก็ยังมีคนบางกลุ่มสวดอ้อนวอนเพื่อให้เทพเจ้าดลใจให้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเมืองใหม่ที่ดีกว่าเดิม
ความคิดของคนในโลกนี้หากวิเคราะห์ให้ดีจะเห็นว่าเป็นแนวคิดแบบปรัชญา มิใช่แนวศาสนา เพราะศาสนามีกรอบให้คิด สาวกคิดนอกกรอบก็เป็นคนนอกรีต คิดได้แต่ต้องทำตามหลักคำสอนของศาสนาเท่านั้น แต่ปรัชญาเป็นแนวคิดแบบเสรี คิดได้แต่จะทำตามได้หรือไม่นั้นเป็นคนละเรื่องกัน ผู้ที่ชอบคิดจึงอาจเรียกได้ว่าเป็นนักปรัชญา ผู้ที่ลงมือปฏิบัติตามที่คิดค้นได้เป็นนักศาสนา ดังนั้นการคิดจึงเป็นเรื่องของปรัชญา แต่ปรัชญาการดำเนินชีวิตเป็นเรื่องของศาสนา มีปรัชญาไว้ฝึกคิดบางแนวคิดอาจกลายเป็นศาสนาก็ได้ แต่การดำเนินต้องดำเนินตามหลักคำสอนของศาสนา
แนวคิดของคนห้ากลุ่มที่แทรกอยู่ในสังคมเดียวกัน ทำให้คนคิดไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถจำแนกได้เป็นห้ากลุ่มห้าสาขาห้าปรัชญา บางครั้งอาจอยู่ในจิตวิญญาณของคนๆเดียวก็ได้ คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็อ้อนวอน กฎเกณฑ์ของโลกของสังคมก็ปฏิบัติตาม บางครั้งก็ฝันถึงความสุขในโลกหน้า แต่บางคราก็ต้องพิสูจน์ตามหลักการของวิทยาศาสตร์ และสุดท้ายบางครั้งก็สงสัยวิธีการทั้งหมดที่มีอยู่ พยายามค้นหาวิธีการใหม่ๆขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการมีชีวิตอยู่ของตนเองและนำไปสู่ความร่มเย็นสันติของโลก
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
25/04/53
หมายเหตุ: ปรัชญาห้ากระบวนทัศน์นี้จำมาจากการฟังการบรรยายของศาสตราจารย์กีรติ บุญเจือ วิชาศาสตร์แห่งการตีความทางศาสนา ส่วนคำอธิบายขยายความเป็นเรื่องของผู้เขียนเอง