อากาศที่กรุงเทพมหานครต้นเดือนเมษายนร้อนมาก ยิ่งตอนกลางวันยิ่งร้อนรนจนแทบจะทนอยู่ไม่ไหว อีกอย่างข่าวคราวต่างๆของบ้านเมืองยิ่งทำให้เพิ่มความร้อนมากขึ้นอีก พอดีที่วัดถ้ำแก้ว จังหวัดชัยภูมิจัดงานบวชเนกขัมมะระหว่างวันที่ 1-7 เมษายน 2553 เจ้าอาวาสวัดถ้ำแก้วได้นิมนต์ให้ไปช่วยแสดงธรรมเทศนาอบรมผู้เข้ารับการอบรม จึงได้ออกเดินทางไปตามคำเชิญ งานนี้จัดขึ้นปีละครั้งซึ่งจัดติดต่อกันมาประมาณสิบปีแล้ว
พระครูประสิทธิชัยวิมล เจ้าอาวาสให้เวลาหนึ่งวันเต็มๆเริ่มตั้งแต่ตีสามทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิ เจริญภาวนา เดินจงกรม ทานข้าวเสร็จเดินขึ้นถ้ำซึ่งอยู่สูงประมาณหนึ่งกิโลเมตร นั่งสมาธิภายในถ้ำ จากนั้นเดินลงมารับประทานอาหารเที่ยง เวลาบ่ายโมงเริ่มฟังการอบรมจนกระทั่งถึงเวลาห้าโมงเย็นพักผ่อน เวลาหนึ่งทุ่มทำวัตรสวดมนต์เย็นต่อ จนกระทั่งถึงเวลาสามทุ่มจึงเสร็จสิ้นภารกิจประจำวัน
ผู้ที่เข้าบวชเนกขัมมะปฏิบัติปีนี้ประมาณ 100 คน ส่วนมากจะเป็นผู้หญิง มีผู้ชายประมาณยี่สิบคนเท่านั้น ซึ่งเป็นปกติที่การปฏิบัติธรรมโดยทั่วไปส่วนมากผู้หญิงจะมากกว่าผู้ชาย เกณฑ์อายุจะมีตั้งแต่สิบห้าปีจนถึงแปดสิบปี
ถ้ำแก้วเป็นถ้ำขนาดใหญ่ภายในมีหินสีขาวเป็นเกร็ดคล้ายแก้วทั่วอาณาบริเวณ พระครูประสิทธิชัยวิมลได้พัฒนามาตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2530 จนถึงปัจจุบันได้รับวิสุงคามสีมาให้เป็นวัดโดยสมบูรณ์เมื่อปีพุทธศักราช 2546 เรียกชื่อเป็นทางการว่า “วัดถ้ำแก้ว” ปัจจุบันมีพระอยู่จำพรรษาห้ารูป ส่วนหนึ่งจะเป็นพระบวชใหม่ และพระธุดงค์ที่เดินทางมาบำเพ็ญเพียรภาวนาในถ้ำ เพราะที่นี่อากาศดี ป่าไม้ยังสมบูรณ์ น้ำท่าสะดวกโดยสูบน้ำขึ้นมาจากถ้ำที่อยู่ภายในบริเวณวัดนั่นเอง ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงให้เป็นที่พักของพระภิกษุสองถ้ำ ในช่วงสงกรานต์จะมีผู้คนเดินทางมาเที่ยวชมความงามภายในถ้ำไม่ขาด แต่ช่วงนี้มีแต่ความเงียบสงบสงัด เพราะตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา
ความเงียบสงัดหรือความวิเวกเป็นอาวุธที่สำคัญอย่างหนึ่งของนักปฏิบัติธรรม ในพระพุทธศาสนาแสดงอาวุธของนักศึกษาปฏิบัติธรรมไว้สามประการดังที่ปรากฎในสังคีติสูตร ทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค(11/228/171) ความว่า อาวุธสามอย่างคือ(1) สุตาวุธ อาวุธคือการฟัง(2) ปวิเวกาวุธ อาวุธคือความสงัด (3) ปัญญาวุธ อาวุธคือปัญญา
ที่วัดถ้ำแก้วแห่งนี้ผู้เข้าบวชเนกขัมมะนุ่งขาวห่มขาว รักษาศีลอุโบสถ รับประทานอาหารมังสวิรัต ใช้อาวุธในการปฎิบัติครบทั้งสามประการ เริ่มต้นด้วยการฟังซึ่งในแต่ละวันจะมีวิทยากรที่เป็นพระภิกษุจากที่ต่างๆมาแสดงธรรมให้ฟัง บางท่านใช้วิธีการสนทนาธรรมอย่างเช่นหลวงตาไซเบอร์ไม่เก่งในการแสดงธรรม เพราะต้องพูดคนเดียวเป็นเวลาสี่ชั่วโมงนั้นมิใช่เรื่องง่ายนัก เพราะต้องคำนึงถึงคนฟังด้วย ธรรมดาการแสดงธรรมเทศนานั้นจะได้ผลจริงๆควรใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วโมง หากมากกว่านั้นไปความทุกข์ทางกายจะเริ่มปรากฎเช่นปวดขา ปวดหลัง นั่งต่อไปไม่ไหวเป็นต้น จิตใจที่ฝักใฝ่ในการฟังธรรมจึงเริ่มจะหายไป เหลือไว้แต่ความอดทนจะเอาสาระธรรมจริงๆได้ยาก เมื่อคำนึงได้ดังนั้นหลวงตาไซเบอร์จึงใช้วิธีการใหม่คือการสนทนาธรรมโดยเริ่มต้นกล่าวนำประมาณสามสิบนาทีจากนั้นเปิดโอกาสให้ซักถามปัญหาต่างๆ วิธีการนี้ได้ผลในช่วงแรกอาจจะมีเพียงคนสองคน แต่เมื่อตอบปัญหาไปสักพักคนถามเริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหาที่ถามมักจะวนเวียนอยู่กับการทำบุญ การดำเนินชีวิต ปัญหาชีวิต ซึ่งสามารถนำหลักธรรมมาประยุกต์ใช้ได้ทุกข้อ เวลาผ่านไปสักพักจะมีคนถามมากขึ้นตามลำดับ เราก็ได้ความรู้จากการถามของชาวบ้านไปด้วย
สุตาวุธ อาวุธคือการฟัง การฟังรวมถึงการอ่านการศึกษาค้นคว้าจากตำหรับตำราต่างๆนั้นถือว่าเป็นอาวุธเบื้องต้นของนักปฎิบัติธรรม เพราะต้องศึกษาค้นคว้าทำความเข้าใจวิธีการก่อนจะลงมือปฏิบัติจริงๆ อาจารย์แต่ละท่านก็จะมีวิธีการสอนแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วก็จะอยู่ในกรรมฐานสี่สิบประการนั่นเอง
ปวิเวกาวุธ อาวุธคือความวิเวกนั้นเป็นอาวุธสำคัญอย่างหนึ่งของนักปฏิบัติ พระนักปฏิบัติทั้งหลายมักจะใช้อาวุธคือความวิเวกเป็นเครื่องมือสำคัญในการปฏิบัติธรรม ในอดีตเราจึงเห็นวัดที่ตั้งอยู่ในป่าเรียกกันว่าวัดป่า พระที่อยู่ในวัดป่าจึงเป็นพระนักปฏิบัติ เพราะอาศัยความสงัดเป็นเครื่องมือ ที่วัดถ้ำแก้วแห่งนี้เจ้าอาวาสประกาศว่า “การปฏิบัติธรรมที่นี่จะใช้เสียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้นเช่นการเทศน์เป็นต้น ที่เหลือจากนั้นใช้ความสงบเป็นที่ตั้ง" ดังนั้นเวลานั่งสมาธิจึงเข้าถ้ำ แม้เป็นตอนกลางวันก็จะมืดสนิท คนประมาณหนึ่งร้อยคนนั่งสมาธิสงบภายในถ้ำเป็นภาพที่สนใจ
ปัญญาวุธ ก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เพราะจะทำให้ผู้ปฏิบัติเกิดความรู้ความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เหตุเกิดแห่งปัญญาในพระพุทธศาสนานั้นท่านแสดงไว้ในสังคีตสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (11/228/171)ความว่า ปัญญาอีกสามอย่างคือ (1) จินตามยปัญญา ปัญญาสำเร็จด้วยการคิด (2) สุตามยปัญญา ปัญญาสำเร็จด้วยการฟัง (3) ภาวนามยปัญญา ปัญญาสำเร็จด้วยการอบรม โปรดสังเกตว่าท่านเริ่มต้นด้วยจินตามยปัญญาไม่ใช่สุตมยปัญญา
อาวุธทั้งสามนั้นปวิเวกาวุธคืออาวุธที่สำคัญที่สุดของการบวชเนกขัมมะที่วัดถ้ำแก้ว เพราะที่นี่สงบสงัดจริงๆ ส่วนสุตาวุธและปัญญาวุธนั้นเป็นเพียงอาวุธที่ส่งเสริมให้การปฏิบัติธรรมดำเนินต่อไปได้
ที่วัดถ้ำแก้วถือเป็นประเพณีพอถึงเดือนเมษายนของทุกปีจะมีพิธีบวชเนกขัมมะ ชาวบ้านจากที่ต่างๆก็จะมาพร้อมกันที่นี่ ถามยายคนหนึ่งว่ามาจากไหน มาบวชทำไม คุณยายอายุเจ็ดสิบปีบอกว่ามาจากบ้านลาดชุมพลอยู่ห่างจากวัดถ้ำแก้วประมาณห้ากิโลเมตร ยายมาทุกปีเพราะที่นี่มีความสงบ ไม่เข้มงวดนัก การสอนก็เป็นไปตามธรรมชาติ สมัยเมื่อยายยังเป็นสาวก็จะมาเพื่อเที่ยวชมถ้ำแก้ว ในอดีตต้องบุกป่าขึ้นไปไม่มีทางเดิน การสัญจรลำบากมาก ชาวบ้านถือว่าถ้ำแก้วมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ภายใน หากใครโชคดีมีบุญก็มักจะได้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลับไปด้วย เมื่อถามว่าอะไรคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยายกล่าวถึง ยายตอบว่าเขาเล่าลือกันว่ามีเหล็กไหลอยู่ในถ้ำ แต่ปัจจุบันเมื่อถ้ำแก้วได้รับการพัฒนาขึ้นทางเดินสะดวกขึ้นยายก็ไม่ค่อยได้มา ถามว่าทำไม่ไม่มา ยายตอบว่าเหล็กไหลไม่อยู่แล้วมีคนเอาไปแล้ว แต่เมื่อสอบถามจากเจ้าอาวาสท่านตอบว่าเคยได้ยินคนเฒ่าคนแก่เล่าให้ฟัง แต่ไม่เคยเห็น เหล็กไหลจะมีจริงหรือไม่ไม่มีใครกล้ายืนยัน แต่ธรรมชาติของถ้ำมักซ่อนที่ลึกลับไว้เสมอ
อีกคนหนึ่งมาจากห้วยหินฝน ห่างจากถ้ำแก้วประมาณสิบกิโลเมตร ผมมาบวชทุกปี เพราะช่วงนี้เป็นเวลาว่าง การทำไร่ต้องรอฝนอีกสักพักจึงจะเริ่มลงมือได้ ในชีวิตหากได้มีเวลาศึกษาและได้พักใจบ้างก็อาจจะทำให้ชีวิตดีขึ้น พระเจ้าทำงานเพียงหกวันยังต้องพักหนึ่งวัน ผมทำงานสามร้อยกว่าวัน มีเวลาพักใจจริงๆก็คือช่วงนี้ ผมไม่ได้หวังว่าจะบรรลุธรรมอะไร สิ่งเดียวที่ผมต้องการคือความสงบเท่านั้น
การบวชเนกขัมมะที่วัดถ้ำแก้ว อำเภอภักดีชุมพล จังหวัดชัยภูมิแห่งนี้ จากการสอบถามสนทนาพูดคุยกับหลายท่านสรุปได้ว่า แม้จะเป็นเพียงการปฏิบัติธรรมในช่วงสั้นๆแต่ก็ภาคภูมิใจที่ได้มาศึกษาหาความรู้ ได้ปฏิบัติธรรม ได้ความสงบสงัดจากบรรยากาศของภูผา ป่าไม้ ขุนเขา เข้าถ้ำ อย่างน้อยก็จะเป็นการเตือนไม่ให้เราตกลงไปในการทำชั่ว
แทบทุกคนต่างก็ให้สัญญาว่าเมื่อการบวชเนกขัมมะปีนี้ผ่านไปเดินออกจากวัดถ้ำแก้วไปแล้วก็ตั้งอธิษฐานไว้ว่า “จะทำทุกอย่างในทางที่ชอบ จะไม่ประกอบในทางที่ผิด เฝ้าชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์สะอาด และใช้ปัญญาความสามารถคุ้มครองตน”ปีหน้าจะมาปฏิบัติธรรมอีกครั้ง
หลวงตาไซเบอร์กลับจากถ้ำแก้วได้เห็นพลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนแล้ว ทำให้มีความรู้สึกลึกๆในใจว่า ตราบใดที่ยังมีคนศึกษาประพฤติปฎิบัติธรรม ตราบนั้นคุณธรรมขั้นสูงของพระพุทธศาสนาก็ยังคงมีอยู่ต่อไป
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
08/04/53