แม้ว่าอากาศจะร้อนระอุด้วยแรงปะทุของเปลวแดดปลายเดือนมีนาคม จนไม่อยากออกไปไหน เพราะแสงแดดร้อนแรงพร้อมที่จะแผดเผาร่างกายให้ร้อนรน บางคนทนกับสภาพอากาศไม่ได้ถึงกับต้องป่วยด้วยไอจากความร้อน แต่ทว่าที่วัดมีงานไม่เคยว่างเว้นทั้งงานบวช งานแต่งงาน จนกระทั่งงานฌาปนกิจ ซึ่งจำเป็นต้องไปร่วมงาน ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ผู้คนมักจัดงานโดยใช้สถานที่ของวัด ด้วยเหตุผลง่ายๆว่าเพราะในช่วงวันหยุดคนหยุดงาน หากเป็นวันธรรมดาจันทร์ถึงศุกร์ก็ต้องทำงานทำมาหาเลี้ยงชีพ ตามแต่งานที่ตนได้เลือกแล้ว ไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน เงินกับงานมาด้วยกัน จนถึงกับมียุคสมัยหนึ่งมีคำขวัญว่า “งานคือเงิน เงินคืองานบันดาลสุข” แต่ก็ยังมีผู้คนส่วนหนึ่งเป็นทุกข์เพราะมีเงิน
หน้าร้อนนอกจากอากาศจะร้อนตามฤดูกาลแล้ว ยังมีสิ่งที่ควรระวังที่มากับความร้อนนั่นคือไฟที่มักจะเกิดเพลิงไหม้บ่อยครั้ง เมื่อเกิดไฟไหม้ทรัพย์สมบัติทั้งหลายมักจะสูญหายมอดไหม้กับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้กินเชื้อจนเหลือแต่เถ้าถ่าน ต้องระมัดระวังไฟไว้ให้มาก ก่อนออกจากที่พักควรตรวจสอบว่ามีไฟที่ยังไม่ได้ดับหรือไม่ ตรวจสอบความเรียบร้อยดับไฟก่อนออกจากบ้าน แม้จะป้องกันไม่ได้ทั้งหมดแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย หากเกิดไฟไหม้ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่ลงทุนลงแรงหามาด้วยความยากต้องมลายหายไปพร้อมกับเปลวไฟที่กินเชื้อ
เดินผ่านเปลวแดดที่เริ่มอ่อนแรงลงแล้วในช่วงบ่าย มีโยมอุบาสกท่านหนึ่งกำลังยืนหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้ จึงแวะเข้าไปทักทาย “ผมมาร่วมงานศพครับ กำลังจะกลับบ้านแต่อากาศร้อน อายุมากแล้วต้องค่อยๆเคลื่อนไหวจะรีบร้อนรีบไปเหมือนสมัยที่ยังหนุ่มแน่นไม่ได้” อุบาสกคนนั้นบอกเล่าให้ฟังก่อนที่จะ ทันได้ถาม
จากนั้นก็ชวนสนทนาต่อไปว่า “ท่านได้ดูข่าวทางโทรทัศน์ไหมครับ ข่าวไฟไหม้ศูนย์อพยพที่ขุนยวมแม่ฮ่องสอน ดูแล้วน่ากลัวนะครับ หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านวอดวายสูญหายไปกับไฟ”
“ข่าวเขาว่าอย่างไร อาตมายังไม่ได้เปิดโทรทัศน์ตั้งแต่เช้าแล้ว ไม่ค่อยมีเวลาได้อยู่กุฎี มีงานตลอด กลางวันติดนิมนต์สวดมนต์ฉันเพลฉลองพระบวชใหม่ พอบ่ายๆก็ไปร่วมงานฌาปนกิจ วันนี้หมดภาระแล้วกำลังจะกลับเข้ากุฎี จึงจะมีเวลาเปิดดูข่าวสารต่างๆ มีโทรทัศน์แล้วใช้ไม่ค่อยคุ้ม”
อุบาสกท่านนั้นจึงบอกว่า “ศูนย์พักพิงชั่วคราวบ้านแม่สุริน เป็นศูนย์พักพิงของชาวกระเหรี่ยงที่อพยพหนีภัยสงครามมาจากพม่า ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา เมื่อเปลวไฟลุกไหม้ในเวลาที่มีลมแรงจึงดับไฟไม่ทัน ทุกอย่างจึงมอดไหม้ไปทั้งหมู่บ้าน สัตว์เลี้ยงก็เสียชีวิตจำนวนมาก บ้านเรือนเสียหายทั้งหมดมีคนเสียชีวิตสามสิบกว่าคน น่าสงสารนะครับ หนีภัยสงครามหนีร้อนมาพึ่งเย็น แต่เหมือนผีซ้ำกรรมซัดวิบัติมาก ต้องลำบากยากไร้เพราะไฟป่า”
จึงย้อนถามไปว่า “สาเหตุการเกิดเพลิงไหม้มาจากไฟป่าหรือ”
“คาดเดาเอานะครับ ตามข่าวเขาบอกว่าสาเหตุน่าจะมาจากไฟป่าหรืออุบัติเหตุหรือการวางเพลิง ผมวิเคราะห์ดูแล้วน่าจะเป็นไฟป่าที่มักจะเกิดขึ้นในฤดูร้อน พอไฟป่าถูกลมพัดกระหน่ำน่าจะเป็นลมหมุนนะครับ อีกอย่างบ้านเรือนก็มักจะสร้างด้วยไม้ มุงด้วยใบตองแห้งซึ่งเป็นเชื้อไฟอย่างดี ไฟจึงลุกลามไปได้เร็วมาก”
ดูข่าวแล้วน่าสงสารจริงๆต้องสิ้นที่พักอยู่กันอย่างลำบากยากเข็ญ ทั้งลูกเล็กเด็กแดง คนเฒ่าคนแก่ต้องไร้ที่พักพิง หน่วยงานราชการและเอกชนต่างๆกำลังให้การช่วยเหลือตามหลักมนุษยธรรม แม้จะต่างชาติต่างศาสนาแต่การช่วยเหลือด้วยน้ำใจอันดีงามนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับชาติศาสนาใดๆทั้งนั้น มนุษย์เมื่อตกทุกข์ได้ยากก็ต้องช่วยเหลือกันตามสมควร
ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่หามาได้เพื่อเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้นั้น ไม่ได้มีเพียงประโยชน์อย่างเดียว ในพระพุทธศาสนาได้แสดงทั้งคุณและโทษของโภคทรัพย์ไว้ดังที่มีปรากฏในโภคสูตร อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต(22/227/235) ได้แสดงอานิสงส์หรือคุณประโยชน์ของการมีโภคทรัพย์ไว้ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในเพราะโภคทรัพย์ห้าประการนี้ คือ(1) เพราะอาศัยโภคทรัพย์ บุคคลจึงเลี้ยงตนให้เป็นสุข เอิบอิ่มบริหารให้เป็นสุขได้โดยชอบ (2) เลี้ยงมารดาบิดาให้เป็นสุข เอิบอิ่ม บริหารให้เป็นสุขได้โดยชอบ (3) เลี้ยงบุตรภรรยา คนใช้ คนงาน และบริวารให้เป็นสุขเอิบอิ่ม บริหารให้เป็นสุขได้โดยชอบ (4) เลี้ยงมิตรและอำมาตย์ให้เป็นสุขเอิบอิ่ม บริหารให้เป็นสุขได้โดยชอบ (5) ย่อมบำเพ็ญทักษิณาทานที่มีผลเลิศเป็นทางสวรรค์ มีสุขเป็นผล เป็นไปเพื่อสวรรค์ ในสมณพราหมณ์ทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในเพราะโภคทรัพย์ห้าประการนี้แล”
การมีทรัพย์สมบัติมากดีกว่าไม่มี เพราะเมื่อมีจึงสามารถดำรงชีวิตอยู่อย่างมีความสุขตามอัตภาพได้ มนุษย์ต้องอยู่ต้องกิน ในแต่ละวันมีอาหารที่สิ้นไปเพราะการบริโภคของมนุษย์จำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีหมู่ชนคนรอบข้างอีกเช่นบิดา มารดา บุตรภรรยา มิตรสหายที่จะต้องคอยเลี้ยงดู คอยต้อนรับตามสมควร โบราณว่าไว้ว่า “มีเงินนับเป็นน้อง มีทองนับเป็นพี่” เหลือจากนั้นจึงแบ่งไว้ทำบุญเพื่อสร้างทางสวรรค์
ในขณะที่โภคทรัพย์ทั้งหลายมีคุณประโยชน์ต่อมนุษย์ก็มีโทษเหมือนกัน ดังแสดงไว้ในสูตรเดียวกันความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษในเพราะโภคทรัพย์ห้าประการนี้คือ(1)โภคทรัพย์เป็นของทั่วไปแก่ไฟ (2) เป็นของทั่วไปแก่น้ำ (3) เป็นของทั่วไปแก่พระราชา (4)เป็นของทั่วไปแก่โจร (5) เป็นของทั่วไปแก่ทายาทผู้ไม่เป็นที่รัก ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษในเพราะโภคทรัพย์ห้าประการนี้แล”
ไฟไหม้ น้ำท่วม โจรปล้น ลูกหลานที่ใช้จ่ายไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ทรัพย์สมบัติก็หมดสิ้นไป ในข้อสามที่บอกว่า “เป็นของทั่วไปแก่พระราชา” ต้องตีความให้เข้ากับสภาพการณ์ในปัจจุบัน เพราะในอดีตพระราชาอาจจะเรียกเอาทรัพย์สมบัติของใครก็ได้ตามความปรารถนา แต่ในสมัยปัจจุบันพระราชาจะไม่ทรงทำอย่างนั้น ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ในปัจจุบันน่าจะเป็น “การถูกเวนคืนพื้นที่” เพื่อใช้ในการสร้างสาธารณประโยชน์เช่นทางด่วน ทางรถไฟ เป็นต้น หากใครมีที่พักพิงอยู่ในปริมณฑลแห่งการก่อสร้างก็ต้องถูกเวนคืน
โภคทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความยากลำบากอาจจะสูญสิ้นไปในชั่วพริบตาเพราะถูกไฟไหม้ น้ำท่วม ถูกเวนคืน โจรปล้น ทายาทผู้คอยจ้องจะทำลาย บางอย่างอาจถูกขายโดยไม่รู้ตัว ทั้งห้าประการนี้คือสิ่งที่เป็นโทษของการมีโภคทรัพย์ บางอย่างป้องกันได้ เพียงแต่ตั้งคอยระมัดระวังด้วยความไม่ประมาท แต่หากอันตรายเกิดขึ้นเพราะอุบัติเหตุก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้ เพราะสิ่งที่เรามีในวันนี้ อาจจะไม่มีในวันข้างหน้าก็ได้ หากชีวิตยังมีลมหายใจ มีแรงกายมีแรงใจทรัพย์ทั้งหลายก็หาใหม่ได้ อย่าพึ่งสิ้นหวังในการมีชีวิต เสียอะไรเสียได้ แต่อย่าเสียกำลังใจ
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
25/03/56