วันนี้ขอพูดเฉียดๆการเมืองสักวัน ใครที่ไม่ชอบเรื่องการเมืองก็ขอให้ผ่านเรื่องนี้ไป ท่ามกลางเสียงระเบิดที่มีขึ้นแทบทุกวัน ใครที่เฝ้าดูกลุ่มคนเสื้อแดงเข้ากดดันให้ทหารย้ายออกจากวัดเช่นวัดบวรนิเวศ วัดตรีทศเทพ วัดแคนางเลิ้ง เป็นต้น คงต้องลุ้นอย่างหนักและเฝ้าภาวนาว่าอย่าให้เหตุการณ์ลุกลามจนกลายเป็นชนวนแห่งการทำร้ายกันเลย ในที่สุดก็หายใจโล่ง เพราะทหารสามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้ ยอมย้ายออกจากที่ตั้งกลับไปตั้งหลัก
สิ่งหนึ่งที่ได้เห็นเป็นการต่อสู้ระหว่างอำนาจของทหารและอำนาจของประชาชน แม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะอ้างว่าไม่มีอาวุธ แต่ความอดทนของมนุษย์มีขีดจำกัด อาจระเบิดอารมณ์ได้โดยง่าย อารมณ์นี่แหละคืออาวุธที่ร้ายแรงที่สุด แดดก็ร้อนอารมณ์คนก็ร้อนยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดการปะทะ แต่โชคดีที่วันนี้ไม่มีเหตุร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น เราจึงได้เห็นทหารและประชาชนร่วมมือกันเป็นอย่างดี คำตระโกนที่ประชาชนส่งทหารกลับกรมกองว่า “ทหารของประชาชน” นั้นฟังดูแล้วชื่นใจ
หลายวันมาแล้วที่ทหารตรึงกำลังที่วัดบวรนิเวศวิหารและวัดตรีทศเทพ พระสงฆ์หลายรูปมองด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ แม้แต่หลวงตาไซเบอร์ก็พยายามชวนทหารคุย เหล่าทหารก็จะสนทนาเป็นปกติ เวลาหิวทหารก็ยังอาศัยอาหารบิณฑบาตจากพระ ทหารบางคนยังมาขอพระเครื่องไว้ป้องกันตัว แต่ในความรู้สึกเหมือนมีอะไรมากลางกั้น ได้สนทนากันกับพระรูปหนึ่งท่านบอกว่า “รู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในระหว่างมีการปฏิวัติ เหมือนกับว่าทหารยึดกรุงเทพฯไว้ได้หมดแล้ว” ข้อเท็จจริงคือตามถนน สะพานลอย ป้ายรถเมล์ต่างๆในกรุงเทพมหานครมีทหารในชุดพร้อมรบตรึงกำลังกระจายอยู่แทบทุกพื้นที่
อนุสาวรียประชาธิปไตยยังคงอยู่ท้าทายแดดลมฝนต่อไป
ในส่วนของประชาชนผู้เข้าร่วมการชุมนุมหากตัดประเด็นเรื่องผลประโยชน์หรือมีใครอยู่เบื้องหลังออกไปแล้ว หากข้อเท็จจริงประชาชนเหล่านี้มาด้วยใจบริสุทธิ์เพื่อเรียกร้องในสิ่งที่พวกเขากำลังเดือดร้อนแล้ว อย่าพึ่งปรามาสพลังอำนาจของประชาชนเป็นอันขาด ประเด็นการชุมนุมเรียกร้อง จะขอผ่านไป แต่การที่มีคนมาชุมนุมกันหลายหมื่นคนหรืออาจหลายแสนคนหลายวันมาแล้ว และตอนนี้ประชาชนร่วมเดินไปเชิญทหารออกจากวัดนับว่าน่าสนใจ อำนาจไม่เข้าใครออกใคร ตอนยังไม่มีไม่เป็นไรแต่พอได้มาแล้วอาจหลงอำนาจได้ง่าย
ในพระพุทธศาสนาได้แสดงเรื่องของอำนาจไว้ในอิสสรสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค(15/211-212/53)พระพุทธเจ้าได้ตอบคำถามของเทวดาตนหนึ่งที่เข้าไปถามพระพุทธเจ้าว่า “อะไรหนอเป็นใหญ่ในโลก อะไรหนอเป็นสูงสุดแห่งภัณฑะ ทั้งหลาย อะไรหนอเป็นดังสนิมศัสตราในโลก อะไรหนอเป็นเสนียดในโลก ใครหนอนำของไปอยู่ย่อมถูกห้าม แต่ใครนำไปกลับเป็นที่รัก ใครหนอมาหาบ่อยๆ บัณฑิตย่อมยินดีต้อนรับ”
ทหารรักษาความสงบตามริมถนนต่างๆ
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “อำนาจเป็นใหญ่ในโลก หญิงเป็นสูงสุดแห่งภัณฑะทั้งหลาย ความโกรธเป็นดังสนิมศัสตราในโลก พวกโจรเป็นเสนียดในโลก โจรนำของไปอยู่ย่อมถูกห้าม แต่สมณะนำไปกลับเป็นที่รัก สมณะมาหาบ่อยๆ บัณฑิตย่อมยินดีต้อนรับ”
อำนาจอาจทำให้คนที่เคยรักกันทะเลาะกัน เพราะอำนาจทำให้คนเป็นใหญ่ได้ แต่อำนาจต้องได้มาด้วยความชอบธรรมจึงจะอยู่ได้นาน อำนาจท่านแสดงไว้สามประการในอธิปไตยสูตร อังคุตรนิกาย ติกนิบาต(20/579/139) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย อธิปไตยสามอย่างคืออัตตาธิปไตย โลกาธิปไตย ธรรมาธิปไตย"
อธิปไตยแต่ละอย่างมีคำอธิบายไว้ในฑีฆนิกาย ปาฎิกวรรค สังคีติสูตร(11/228/323) ความว่า “คุณชาติอันมาแล้วจากความเป็นใหญ่ชื่อว่าอธิปเตยยะ การทำตนให้เป็นใหญ่คือให้เป็นหัวหน้า อย่างนี้ว่าเราเป็นคนเท่านี้โดยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ ข้อนั้นไม่ควรแก่เราดังนี้แล้วไม่กระทำความชั่วชื่อว่าอัตตาธิปไตย การทำชาวโลกให้เป็นใหญ่แล้วไม่ทำความชั่วชื่อว่าโลกาธิปไตย การทำโลกุตตรธรรมให้เป็นใหญ่แล้วไม่ทำความชั่วชื่อว่าธรรมาธิปไตย” อธิปไตยในพระสูตรนี้จึงเป็นการพิจารณาตามความเห็นของตนเอง ความเห็นคนอื่นและธรรมะเป็นเกณฑ์ ในการกระทำอะไรต่างๆย่อมมีสาเหตุมาจากทั้งสามอย่างนั้น
เอ้าปราศรัยเข้าไป...พวกผมจะฟัง
ต่อมาได้มีการนำเอาหลักการของอธิปไตยมาประยุกต์ใช้ในการปกครอง ซึ่งผู้ที่นำมาใช้คนแรกคือพระเจ้าอโศกมหาราช ตามที่มาในหนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนากล่าวถึงระบบการปกครองแบบธรรมาธิปไตย โดยอ้างถึงพระเจ้าอโศกว่า พระเจ้าอโศกนับได้ว่าเป็นราชันผู้พิชิตพระองค์เดียวในโลก ซึ่งดำเนินนโยบายปกครองโดยธรรมาธิปไตย ทั้ง ๆ ที่แสนยานุภาพของพระองค์ก็ยังพรั่งพร้อมสมบูรณ์รอเวลารุกรานประเทศแว่นแค้นอื่นอยู่ทุกเมื่อ พระองค์ไม่เคยรู้จักคำว่าพ่ายแพ้นับตั้งแต่ทรงแผ่พระกฤษฎาวิชัยเพื่อสันติแทน นับว่าเป็นบทอัศจรรย์บทหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์แห่งโลกมนุษย์ ใช้ว่าพระองค์จะผิดหวังเพราะเสียเชิงศึกหรือจะเป็นด้วยกองทัพ ไร้ศักดาจึงทรงเปลี่ยนแสวงหาเกียรติคุณทางศาสนาก็หามิได้ ราชันผู้พิชิตหลาย ๆ พระองค์ที่โลกเคยมี ส่วนมากมักประพฤติองค์เป็นทรราช หรือมิฉะนั้นก็เป็นจอมฆาตกรซึ่งมีความทะเยอทะยานปรารถนาเป็นเจ้าโลกาด้วยวิธีทำสงครามอย่างไม่รู้อิ่ม