วันนั้นฝนตกมาตั้งแต่ตอนไหนไม่ทราบ เพราะเมื่อลืมตาตื่นตอนตีห้าครึ่งฝนก็ตกแล้ว และยังคงพรำมาตลอดทั้งวัน มีบางช่วงที่ตกหนัก บางช่วงแม้จะหยุดไปแต่ก็เพียงชั่วครู่จากนั้นก็ตกลงมาอีก บางครั้งตกไม่ลืมหูลืมตา คนขับรถเจ้าประจำที่เคยใช้บริการโทรศัพท์มาบอกว่า ขอให้รอหน่อย เพราะตอนนี้รถติดมาก แทบจะขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้ กว่าจะออกจากวัดได้เวลาก็ปาเข้าไปเกือบแปดโมงเช้า ต้องเดินทางจากบางซื่อไปสอนหนังสือให้ทันที่ศาลายา นครปฐมเวลาแปดนาฬิกาสามสิบนาที หากเป็นวันปรกติจะใช้เวลาเดินทางจากบางซื่อไปศาลายาใช้เวลาไม่เกินสี่สิบนาที หรือหากวันใดถนนโล่งรถไม่ติดก็ใช้เวลาเพียงสามสิบนาที
ตามท้องถนนหลายแห่งสัญญาณไฟจราจรเสีย บางแห่งมีไฟสีแดงกระพริบ บางแห่งมีไฟสีเขียว จึงไม่รู้จะทำอย่างไร รถแต่คันจึงต่างฝ่ายต่างไป ดูเหมือนว่าเมืองทั้งเมืองกำลังเป็นอัมพาต ยิ่งมีข่าวว่าทางรัฐบาลกำลังทดลองปล่อยน้ำลงมาจากทางเหนือ ชาวบ้านที่เคยประสบกับอุทกภัยน้ำท่วมใหญ่เมื่อปีที่แล้วยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะเกรงว่าน้ำเหนือผสมกับน้ำฝนอาจจะกลายเป็นน้ำท่วมใหญ่อีกครั้ง ประสบการณ์น้ำท่วมในปีที่ผ่านมาไม่มีใครอยากพบเห็นอีก
เห็นรถชนกันหลายแห่งก็ยิ่งเพิ่มปริมาณรถติดหนักเข้าไปอีก ครั้นจะไปทางอื่นก็ไม่มีทางแล้ว เพราะเมื่อรถอยู่บนถนนที่มีทั้งรถนำหน้าและตามหลังก็ยากจะถอยกลับได้ มองไปข้างหน้าก็สิ้นหวัง มองไปข้างหลังก็ลำบาก ชีวิตถึงทางตันในวันที่ฝนตกในกรุงเทพมหานคร
ชีวิตมนุษย์มักจะเป็นแบบนี้บางครั้งจะเดินหน้าก็ไม่ได้ ครั้นจะถอยหลังกลับไปก็ลำบาก เหมือนรถที่กำลังติดอยู่บนท้องถนนนี่แหละ คนขับรถเริ่มหงุดหงิดบ่นนั่นบ่นนี่ไปตามเรื่อง จึงบอกว่าใจเย็นๆ ไปไม่ทันไม่เป็นไรมันเป็นอุบัติเหตุแห่งการเดินทางจริงๆคงไม่มีใครว่าอะไร ทุกอย่างแก้ไขได้ เสียงานสักครั้งยังดีกว่าเสียชีวิต เพราะหากยังมีชีวิตก็สามารถทำงานทดแทนได้ หากใจร้อนอาจจะไปไม่ถึงเป้าหมายก็ได้ โบราณว่า “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม”
คนขับบอกว่า “เรากำลังอยู่บนถนนนะครับไม่ใช่กำลังตีพร้าจะได้ช้าได้”
จึงบอกทั้งรอยยิ้มว่า “ต้องใจเย็นเข้าไว้ไม่ได้ยินหรือที่เขาโฆษณาทางโทรทัศน์ว่า “ต้องตั้งสติก่อนสตาร์ท” จะรีบร้อนไปทำไมกันทุกคนต่างก็เร่งรีบกันทั้งนั้น คนขับรถจึงสงบและเริ่มเปิดเพลงฟังเบาๆ ต้องยกให้เขาเลือกฟังเพลงที่เขาชอบ คนบางคนฟังเพลงแล้วใจสงบ บางคนอยู่เฉยๆจึงใจเย็น เมื่อรู้ว่าเขาใจเย็นแล้ว แม้รถจะติดก็ไม่มีปัญหาอะไร ในไม่ช้าก็ไปถึงจุดหมายจนได้ เสียงานแต่ยังเหลือชีวิตไว้ทดแทนการทำงานใหม่ได้
ผู้ที่มีสติย่อมมีความเจริญ และย่อมได้รับความสุข ดังที่แสดงไว้ในมณิภัททสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/812-813/289) ความว่า “ครั้งหนึ่ง ยักษ์ชื่อมณิภัททะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้กล่าวคาถาในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า “ความเจริญย่อมมีแก่คนมีสติทุกเมื่อ คนมีสติย่อมได้ความสุข ความดีย่อมมีแก่คนมีสติเป็นนิตย์ และคนมีสติย่อมหลุดพ้นจากเวร”
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “ความเจริญย่อมมีแก่คนมีสติทุกเมื่อ คนมีสติย่อมได้ความสุข ความดีย่อมมีแก่คนมีสติเป็นนิตย์ แต่คนมีสติยังไม่หลุดพ้นจากเวร"
ข้อความตอนนี้แปลมาจากภาษาบาลีว่า "สติมโต สทา สาธุ สติมา สุขเมธติ
สติมโต สุเว เสยฺโย เวรา น ปริมุจฺจติ ฯ
จากนั้นพระพุทธเจ้ายังทรงตรัสต่อไปอีกว่า "ผู้ใดมีใจยินดีในความไม่เบียดเบียนตลอดวันและคืนทั้งหมด และเป็นผู้มีส่วนแห่งเมตตาในสรรพสัตว์ ผู้นั้นย่อมไม่มีเวรกับใครๆ”
คำว่า “สติ” แปลว่าความระลึกได้ นึกได้ สำนึกอยู่ไม่เผลอ มักจะมาคู่กับคำว่า “สัมปชัญญะ” หมายถึงความรู้ชัด รู้ชัดสิ่งที่นึกได้ ตระหนัก เข้าใจชัดตามความเป็นจริง หากธรรมสองอย่างมาคู่กันจะมีอุปการะมาก ดังที่แสดงไว้ในทสุตตรสูตร ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค (11/378/280) ความว่า “ธรรมสองอย่างที่มีอุปการะมากเป็นไฉนคือสติ สัมปชัญญะ ธรรมสองอย่างนี้มีอุปการะมาก”
คนที่ระลึกได้ ไม่เผลอ และรู้ชัดในสิ่งที่ตนระลึกได้ จะทำอะไรก็ไม่เผลอตน สามารถครองสติอยู่ได้ย่อมมีความสุข แต่ก็ยังไม่อาจจะทำให้พ้นจากเวรได้ ผู้ที่จะพ้นจากเวรได้มีความยินดีในความไม่เบียดเบียนและมีเมตตาในสรรพสัตว์ทั้งหลาย
บางทีแม้เราจะพยายามตั้งสติแล้วแต่ก็ต้องมีวันพลั้งเผลอจนได้ วันนั้นกลับจากศาลายา ตอนเย็นฝนยังตก น้ำฝนสาดเข้ากุฏิไหลนองไปทั่ว แม้จะค่อยๆเดินด้วยความระวังแล้วก็ยังลื่นล้มจนได้ ยังโชคดีที่ศีรษะไม่กระทบกับของแข็งอย่างอื่น แต่การเผลอสติครั้งนั้นก็ทำให้นอนซมไปหลายวัน มันเจ็บปวดไปทั้งร่างกาย มึนงงหลงๆลืมๆคิดอะไรไม่ค่อยออกเหมือนกัน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
08/09/55