สัปดาห์นี้ฝนตกแทบทุกวันบางวันมีลมกรรโชกแรง การเดินทางลำบากเพราะตามท้องถนนมีรถมาก บางครั้งรถติดยาวเหยียดกว่าจะเดินทางไปถึงที่ทำงานก็ใช้เวลานานมาก ทำงานเดี๋ยวเดียวก็ต้องเดินทางกลับ วันนั้นนั่งรถโดยสารจากศาลายาปลายทางที่บางซื่อ รถติดมากไม่นานก็ทราบสาเหตุเพราะข้างหน้ามีอุบัติเหตุรถชนกันหลายคัน เจ้าของรถต่างก็ออกมากล่าวคำผรุสวาจากัน กล่าวหาว่าฝ่ายตรงข้ามผิด แม้จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจคอยห้ามแต่ก็ยังไม่มีใครยอมใคร กว่าจะผ่านไปได้ก็ต้องเสียเวลาไปมาก หากยอมกันบ้างเรื่องคงจบลงได้ง่ายกว่าที่ควรจะเป็น
สาเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทมีแสดงไว้ในวิวาทสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต (24/41/71) ความว่า “ครั้งหนึ่งพระอุบาลีได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคและได้ทูลถามว่าพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ความหมายมั่น การทะเลาะ การแก่งแย่ง และการวิวาทเกิดขึ้นในสงฆ์ ที่เป็นเหตุให้ภิกษุทั้งหลายอยู่ไม่สำราญ”
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ดูกรอุบาลี ภิกษุในธรรมวินัยนี้ (1)ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นธรรมว่าเป็นธรรม (2) ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นธรรมว่าไม่เป็นธรรม (3)ย่อมแสดงสิ่งที่ไม่เป็นวินัยว่าเป็นวินัย (4)ย่อมแสดงสิ่งที่เป็นวินัยว่าไม่เป็นวินัย (5)ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้กล่าวไว้ ไม่ได้บอกไว้ว่าตถาคตได้กล่าวไว้ได้บอกไว้ (6) ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตได้กล่าวไว้ได้บอกไว้ว่าตถาคตไม่ได้กล่าวไว้ไม่ได้บอกไว้ (7) ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่เคยประพฤติมาว่าตถาคตเคยประพฤติมา (8)ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตเคยประพฤติมาว่าตถาคตไม่เคยประพฤติมา (9)ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ว่า ตถาคตได้บัญญัติไว้ (10)ย่อมแสดงสิ่งที่ตถาคตได้บัญญัติไว้ว่า ตถาคตไม่ได้บัญญัติไว้ ดูกรอุบาลี นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้ความหมายมั่น การทะเลาะการแก่งแย่ง และการวิวาทเกิด
ขึ้นในสงฆ์ ที่เป็นเหตุให้ภิกษุทั้งหลายอยู่ไม่สำราญ”
พระสูตรนี้กล่าวถึงการทะเลาะวิวาทกันในหมู่สงฆ์ แต่หากจะนำมาใช้กับคนทั่วไปก็สามารถประยุกต์ใช้ได้ คือเห็นผิดเป็นผิด เห็นเป็นถูก ทำตามกฎหมาย ทำตามกฎกติกา ไม่ล่วงละเมิดในข้อที่กฎหมายห้าม หากขับรถก็ต้องทำตามกฎจราจร แม้รถจะติดก็ต้องอดทน เพราะทุกคนต่างก็ต้องประสบกับปัญหาเดียวกัน
หากใครที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองในช่วงนี้ ข่าวที่เป็นที่สนใจส่วนหนึ่งคือความขัดแย้งกันจนก่อให้เกิดความเสียหาย บางครั้งอาจจะถึงกับมีการเข่นฆ่ากันเสียชีวิตก็มี บางครั้งแค่เพียงการขับรถเฉี่ยวชนกันนิดเดียวก็อาจจะเป็นสาเหตุให้ฆ่ากันตายได้ นักการเมืองไทยทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลดูเหมือนจะคอยจ้องจับผิดหาเรื่องทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม หากทุกคนเห็นสิ่งที่ผิดเป็นผิด เห็นถูกเป็นถูกก็คงไม่ทะเลาะวิวาทกัน แม้แต่ในสมัยพุทธกาลญาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทะเลาะกัน จนกระทั่งพระพุทธองค์ต้องเสด็จไปห้ามญาติ จนมีพระพุทธรูปปางหนึ่งที่เรียกว่า “ปางห้ามญาติ” อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้แต่สัตว์ดิรัจฉานหากมัวแต่ทะเลาะกันก็จะก่อให้เกิดความเสียหายได้ ดังกรณีของนกกระจาบที่ถูกนายพรานจับได้ทั้งฝูงก็เพราะมัวแต่ทะเลาะกัน
เรื่องนกกระจาบทะเลาะกันมีปรากฏในอรรถกถาสัมโมทมานชาดก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม 3 ภาค 1 หน้าที่ 336 ความว่า “พระศาสดาเมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยพระนครสาวัตถี ประทับอยู่ในนิโครธาราม ทรงปรารภการทะเลาะกันแห่งพระญาติ ในครั้งนั้นพระศาสดาตรัสเรียกพระญาติทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า “มหาบพิตรทั้งหลายชื่อว่าการทะเลาะกัน และกันแห่งพระญาติทั้งหลายไม่สมควร จริงอยู่ในกาลก่อนในเวลาสามัคคีกัน แม้สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายก็ครอบงำปัจจามิตรถึงความสวัสดีได้ แต่ในกาลใดถึงการวิวาทกัน ในกาลนั้นก็ถึงความพินาศใหญ่หลวง ผู้อันราชตระกูลแห่งพระญาติทั้งหลายทูลอ้อนวอนแล้ว จึงทรงนำอดีตนิทานมาสาธกดังต่อไปนี้
ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดนกกระจาบมีนกกระจาบหลายพันเป็นบริวารอยู่ในป่า ในกาลนั้นพรานล่านกกระจาบคนหนึ่ง ไปยังที่อยู่ของนกกระจาบเหล่านั้นทำเสียงร้องเหมือนนกกระจาบ รู้ว่านกกระจาบเหล่านั้นประชุมกันแล้วจึงทอดตาข่ายไปข้างบนนกกระจาบเหล่านั้นแล้วกดที่ชายรอบ ๆ กระทำให้นกกระจาบทั้งหมดมารวมกันแล้วบรรจุเต็มกระเข้าไปเรือนขายนกกระจาบเหล่านั้นเลี้ยงชีพด้วยมูลค่านั้น
อยู่มาวันหนึ่งพระโพธิสัตว์กล่าวกะนกกระจาบเหล่านั้น ว่านายพรานนกนี้ทำพวกญาติของเราทั้งหลายให้ถึงความพินาศ เรารู้อุบายอย่างหนึ่งอันเป็นเหตุให้นายพรานนกนั้นไม่อาจจับพวกเราจำเดิมแต่บัดนี้ไปเมื่อนายพรานนกนี้สักว่าทอดข่ายลงเบื้องบนพวกเรา ท่านทั้งหลายแต่ละตัวจงสอดหัวเข้าในตาของตาข่ายตาหนึ่ง ๆ พากันยกตาข่ายขึ้นแล้วพาบินไปยังที่ที่ต้องการแล้วพาดลงบนพุ่มไม้มีหนาม เมื่อเป็นอย่างนั้นพวกเราจักหนีไปทางส่วนเบื้องล่างโดยที่นั้น
นกกระจาบเหล่านั้นทั้งหมดพากันรับคำแล้ว ในวันที่สองเมื่อพรานนกทอดข่ายลงเบื้องบน ก็พากันยกข่ายขึ้นโดยนัยที่พระโพธิสัตว์กล่าวแล้วนั่นแหละแล้วพาดลงบนพุ่มไม้มีหนามแห่งหนึ่ง ส่วนตนเองหนีไปทางนั้น ๆ โดยส่วนเบื้องล่าง
เมื่อพรานนกมัวปลดข่ายจากพุ่มไม้อยู่นั่นแหละ ก็เป็นเวลาพลบค่ำ นายพรานนกนั้นจึงได้เป็นผู้มีมือเปล่ากลับไป แม้จำเดิมแต่วันรุ่งขึ้นนกกระจาบเหล่านั้นก็กระทำอย่างนั้นนั่นแหละ ฝ่ายนายพรานนกนั้นเมื่อปลดเฉพาะข่ายอยู่จนกระทั้งพระอาทิตย์อัสดงไม่ได้อะไรๆเป็นผู้มีมือเปล่าไปบ้าน ลำดับนั้นภรรยาของเขาโกรธพูดว่าท่านกลับมามือเปล่าทุกวันๆ เห็นจะมีที่ที่ท่านจะต้องเลี้ยงดูข้างนอกแม้แห่งอื่น
นายพรานนกกล่าวว่า “นางผู้เจริญ เราไม่มีที่ที่จะเลี้ยงดูแห่งอื่น ก็อนึ่งแลนกกระจาบ เหล่านั้นมันพร้อมเพรียงกันเที่ยวไปมันพากันเอาข่าย สักว่าพอเราเหวี่ยงลงไปพาดบนพุ่มไม้มีหนาม แต่พวกมันจะไม่ร่าเริงอยู่ได้ตลอดกาลทั้งปวงดอก เจ้าอย่าเสียใจ เมื่อใดพวกมันถึงการวิวาทกันเมื่อนั้นเราจักพาเอาพวกมันทั้งหมดมา ทำหน้าของเธอให้ชื่นบานเถิด แล้วกล่าวคาถานี้แก่ภรรยาว่า “นกระจาบทั้งหลายร่าเริงบันเทิงใจพาเอาข่ายไป เมื่อใดพวกมันทะเลาะกัน เมื่อนั้นพวกมันจักตกอยู่ในอำนาจของเรา”
โดยล่วงไปสองสามวัน นกกระจาบตัวหนึ่งเมื่อจะลงยังภาคพื้นที่หากินไม่ได้กำหนด จึงได้เหยียบหัวของนกกระจาบตัวอื่น นกกระจาบตัวที่ถูกเหยียบหัวโกรธว่า “ใครเหยียบหัวเรา” เมื่อนกกระจาบตัวนั้นแม้จะพูดว่า เราไม่ได้กำหนดจึงได้เหยียบ ท่านอย่าโกรธเลย” ก็ยังไม่หายโกรธ
นกกระจาบเหล่านั้น เมื่อพากันกล่าวอยู่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ จึงกระทำการทะเลาะกันว่า “เห็นจะท่านเท่านั้นกระมังยกข่ายขึ้นได้” เมื่อนกกระจาบเหล่านั้นทะเลาะกัน พระโพธิสัตว์คิดว่า ขึ้นชื่อว่าการทะเลาะกันย่อมไม่มีความปลอดภัย บัดนี้แหละนกกระจาบเหล่านั้นจักไม่ยกข่าย แต่นั้นจักพากันถึงความพินาศใหญ่หลวง นายพรานนกจักได้โอกาส เราไม่อาจอยู่ในที่นี้”
พระโพธิสัตว์นั้นจึงพาบริษัทของตนไปอยู่ที่อื่น ฝ่ายนายพรานนก พอล่วงไปสองสามวัน ก็มาแล้วร้องเหมือนเสียงนกกระจาบ ซัดข่ายไปเบื้องบนของนกกระจาบเหล่านั้นผู้มาประชุมะจาบเหล่านั้นทั้งหมดมารวมกันแล้วใส่เต็มกระเช้าได้ไปเรือนทำให้ภรรยาร่าเริงใจ
พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนมหาบพิตรทั้งหลาย ชื่อว่าความทะเลาะแห่งพระญาติทั้งหลายไม่ควรอย่างนี้ เพราะความทะเลาะเป็นมูลเหตุแห่งความพินาศถ่ายเดียวแล้วทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิกันแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า “นกกระจาบตัวที่ไม่เป็นบัณฑิตในครั้งนั้นได้เป็นพระเทวทัต ส่วนนกกระจาบตัวที่เป็นบัณฑิตในครั้งนั้นได้เป็นเราแล”
หากนกทั้งหลายพร้อมเพรียงกันพากันก็สามารถจะยกตาข่ายของนายพรานไปได้ แต่เมื่อใดก็ตามหากนกเหล่านั้นมัวแต่ทะเลาะกัน เมื่อนั้นนกทั้งหลายก็จะเกี่ยงกันไม่ช่วยกันบินขึ้น ในที่สุดก็ถูกนายพรานจับได้ คนเราก็เฉกเช่นเดียวกันหากมัวแต่ทะเลาะวิวาทกัน คอยเกี่ยงงอนกันหาเรื่องจับผิด ไม่ยอมให้อภัยซึ่งกันและกัน มีแต่แต่จะนำไปสู่ความพินาศดังกรณีของนกกระจาบนั่นแล
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
30/08/55