วัดมัชฌันติการามขึ้นป้ายงานวัดมาหลายวันแล้ว จะมีพิธีบรรพชาสามเณร 13 รูป และพิธีอุปสมบทพระภิกษุอีก 2 รูป ในวันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม 2555 และมีงานฉลองเปรียญธรรม ตามมาด้วยพิธีฉลองการที่มีพระภิกษุสามเณรในวัดศึกษาจนจบปริญญาเอก ปริญญาโท และปริญญาตรีอีก 6 รูป ในวันเดียวกัน ฝ่ายประชาสัมพันธ์การจัดงานฝากให้ลงประกาศเผยแผ่ทางเว็บไซต์ไซเบอร์วนารามมาหลายวันแล้ว แต่คิดแล้วคิดอีกเพราะภาพแรกในป้ายประกาศแผ่นนั้น ดูหน้าแล้วหน้าเหมือนกับเว็บมาสเตอร์ไซเบอร์วนารามเหมือนกับเป็นพระภิกษุรูปเดียวกัน
อันที่จริงวัดมัชฌันติการามเป็นวัดเล็กๆ มีพระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษาประมาณ 60 รูป มีพระภิกษุสามเณรอยู่สองประเภทคือพระที่อยู่ในท้องถิ่นเขตบางซื่ออาจจะเรียกว่าพระเจ้าถิ่น และอีกส่วนหนึ่งเป็นพระภิกษุสามเณรมาจากต่างจังหวัดเช่นสกลนคร อุดรธานี ยโสธร อุบลราชธานี เพชรบูรณ์ ชัยภูมิ หนองบัวลำภูเป็นต้น แต่ไม่มีปัญหาแต่ประการใด แม้จะมาจากต่างภูมิลำเนาแต่ก็อยู่กันอย่างสันติสุข
พระภิกษุสามเณรก็มีสองประเภทคือพระที่ชอบปฏิบัติธรรมกรรมฐานแยกอยู่ส่วนหนึ่ง ส่วนภิกษุหนุ่มและสามเณรน้อยต้องเรียนหนังสือทั้งแผนกนักธรรม แผนกบาลี แผนกปริยัติสามัญ และเรียนในระดับอุดมศึกษามีทุกชั้นตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จนถึงระดับปริญญาเอก ทั้งหมดอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าอาวาสคือพระครูธีรสารปริยัติคุณ ซึ่งเรียนจบปริญญาเอกมาจากประเทศอินเดีย ดังนั้นจึงสนับสนุนให้พระภิกษุสามเณรศึกษาเล่าเรียน ใครที่ไม่มีทุนการศึกษาก็ให้บอก เจ้าอาวาสให้การสนับสนุนเต็มที่ ท่านเคยบอกว่า “การศึกษาเล่าเรียนคือพื้นฐานสำคัญของการเป็นพระภิกษุสามเณรที่ดี คนมีความรู้ย่อมทำประโยชน์ได้มากกว่า ผู้ใดที่มีความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมย่อมสามารถสอนคนอื่นได้ดีกว่า เด็กบ้านนอกมีโอกาสทางการศึกษาน้อย หากไม่ได้บวชเรียนก็ยากที่จะเรียนจบการศึกษาในระดับสูงได้ โอกาสในการศึกษาของคนจนส่วนหนึ่งคือการบวชเรียน”
เพราะได้รับการสนับสนุนที่ดีจากเจ้าอาวาสในแต่ละปีจึงมีพระภิกษุสามเณรที่สอบได้นักธรรม บาลีและเรียนจบในระดับอุดมศึกษาปีละหลายรูป แต่การที่มีพระภิกษุศึกษาจนจบปริญญาเอกนั้นนานๆจึงจะมีสักรูป เพราะการศึกษาในระดับนี้ต้องใช้ทุนในการศึกษามากและใช้ความเพียรพยายามมาก ในรอบสิบปีที่ผ่านมาพึ่งจะเรียนปีการศึกษาที่ผ่านมานี่เองที่มีพระภิกษุในสังกัดวัดมัชฌันติการามเรียนจบในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกครบทุกชั้น
พระภิกษุสามเณรที่เรียนจบการศึกษาแม้จะลาสิกขาออกไปก็จะเป็นคนมีการศึกษา และหากท่านเหล่านี้ยังอยู่ในสมณเพศก็จะได้ช่วยสอนหนังสือ ใครถนัดทางไหนสอนทางนั้น เช่นสอนนักธรรม บาลี สอนแผนกปริยัติสามัญ หรือแม้แต่เป็นครูพระสอนศีลธรรมในโรงเรียนต่างๆ ในส่วนของโรงเรียนพระปริยัติธรรมวัดมัชฌันติการามก็ใช้ระบบรุ่นพี่สอนรุ่นน้อง เรียนจบนักธรรมเอกสอนนักธรรมตรี รูปใดที่สอบได้เป็นพระมหาเปรียญก็สอนแผนกบาลี เรียนกันทุกวัน หยุดวันพระและวันอาทิตย์ วันละสามรอบ เช้าเรียนนักธรรม บ่ายเรียนปริยัติสามัญ และตอนเย็นเรียนบาลี เหนื่อยทั้งคนสอนและคนเรียน แต่ก็ดำเนินไปดังนี้มานานหลายปีแล้ว
แม้ว่าผู้ที่ศึกษาจบมาในระดับปริญญาเอกจะไม่อยากจะให้จัดงานฉลองมากนัก เพราะถือว่าเป็นการเรียนที่ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่ควรประกาศนัก บางคนอาจจะกล่าวหาว่าเป็นพระทำไมเรียนทางโลก แต่สาขาที่เรียนจบมาคือพุทธศาสนศึกษายังอยู่ในแนวทางของการศึกษาพระพุทธศาสนาจึงไม่ใช่การศึกษาที่เป็นทางโลกแต่ประการใด ยังเรียนอยู่ในกรอบของการศึกษาพระพุทธศาสนา แต่ทว่าเจ้าอาวาสบอกว่า “อย่างน้อยก็เป็นกำลังใจสำหรับสามเณรที่กำลังศึกษาจะได้มีตัวอย่างที่ดี ในการก้าวไปข้างหน้า การได้ตัวอย่างที่ดี มีวิธีปฏิบัติ เป็นทางแห่งความสำเร็จอย่างหนึ่ง” ใครที่เรียนจบในระดับไหนดูรายชื่อเอาเองก็แล้วกัน
หลวงพ่อเจ้าอาวาสบอกว่าใครที่มีความประสงค์จะเป็นเจ้าภาพบรรพชาสามเณรและอุปสมบทพระภิกษุก็สามารถติดต่อที่คณะกรรมการจัดงานได้ ตอนนี้ยังมีเจ้าภาพไม่ครบ จะเป็นเจ้าภาพบริขารอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ตามกำลังศรัทธา หลวงตาไซเบอร์ฯ แม้จะไม่ค่อยมีเงินมากนัก แต่ก็แจ้งความประสงค์ไปแล้วว่าจะเป็นเจ้าภาพบรรพชาสามเณรหนึ่งรูป เป็นเจ้าภาพบวชให้เอง และส่งให้เรียนต่อในระดับสูงไปเรื่อยๆ ไม่แน่ว่าในอนาคตสามเณรรูปนี้อาจจะเรียนจบปริญญาเอกก็ได้ ส่วนรายละเอียดค่าใช้จ่ายเท่าไหร่นั้นติดต่อสอบถามกับคณะกรรมการจัดงานหรือติดต่อมาทีไซเบอร์วนารามก็ได้
งานนี้ทางวัดฝากมาให้ช่วยประชาสัมพันธ์ทางเว็บไซต์ไซเบอร์วนาราม ซึ่งมีชื่อเว็บมาสเตอร์เป็นผู้ที่เรียนจบการศึกษากับเขาด้วย เป็นผู้ที่มีอายุมากที่สุด และเรียนจบในระดับสูงที่สุด วันหนึ่งไปยืนดูป้ายประกาศที่ทางวัดจัดทำขึ้น มีคนขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างคนหนึ่งจอดรถหน้าป้ายและอ่านอย่างสนใจ พอหันมาเห็นหลวงตาไซเบอร์ฯบังเอิญตอนนั้นกำลังมองดูป้ายเหมือนกัน จึงหันมาถามว่า “พระรูปแรกในป้ายประกาศนั้นยังอยู่ที่วัดนี้หรือไม่ ทำงานที่ไหน” จึงบอกไปว่า “ยังอยู่สบายดียังสอนหนังสือที่วัดทุกวัน” คนขับมอเตอร์ไซด์บอกว่า “พระรูปนี้กว่าจะเรียนจบปริญญาเอกได้ หัวล้านแทบหมดศีรษะ” จากนั้นก็ขับรถจากไป
หลวงตาไซเบอร์ฯ มองดูภาพในป้ายและเอามือรูปศีรษะตัวเอง พลางทอดถอนใจกับโชคชะตาที่บังเอิญเกิดมาอัตคัตเกศา ยืนรำพึงกับตัวเองในใจว่า “ผมบนศีรษะเหลือน้อยเต็มทีอย่างที่คนขับมอเตอร์ไซด์คนนั้นว่าจริงๆ” ณ ช่วงเวลาตอนนั้นพลันคิดถึงเพลง “คนหัวล้าน” ของสุรพล สมบัติเจริญขึ้นมาในบัดดล อาภัพผมแต่ไม่อาภัพความรู้
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
12/07/55