ความงดงามของธรรมชาติที่เกิดมาจากความโหดร้ายของภูเขาไฟที่ระเบิดแล้วเมื่อกาลเวลาผ่านไปนานเข้า หลังจากที่ความร้อนสงบลง ปากปล่องภูเขาไฟก็ไก้กลายเป็นทะเลสาบอันงดงาม ที่หลบตัวอยู่ใต้เงาทะมึนแห่งขุนเขา กลายเป็นแหล่งน้ำจืดที่หล่อเลี้ยงพืชพันธุ์ธัญญาหารให้อุดมสมบูรณ์ โดยที่ชาวบ้านไม่ต้องมีความกังวลว่าภูเขาที่ทอดยาวอยู่เบื้องหน้านั้นจะกลายเป็นภูเขาไฟที่พร้อมจะระเบิดอีกครั้ง ชาวบ้านที่นี่เชื่อกันว่าภูเขาไฟระเบิดครั้งเดียวจะไม่ระเบิดเป็นครั้งที่สอง ดังนั้นหากพื้นที่ใดที่ภูเขาไฟระเบิดไปแล้วก็จะกลายเป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การเพาะปลูกและชาวบ้านมักจะพากันตั้งหลักแหล่ง ในดินแดนอันเงียบสงบของธรรมชาติประกอบอาชีพทางเกษตรกรรม
วันนั้นที่ห้องอาหารแห่งหนึ่งที่คินตามณี เวลาประมาณเที่ยงวัน บรรยากาศโดยรอบขมุกขมัวไปด้วยหมู่หมอกที่ลอยละล่องเหนือทะเลสาบอันเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ มองเห็นถนนที่คดเคี้ยวตามไหล่เขาและท้องทะเลสาบสีคราม หากไม่ได้ทราบมาก่อนว่าภูเขาไฟแห่งนี้ระเบิดมาประมาณสามหมื่นปีมาแล้ว อาจจะคิดไปว่าภูเขาไฟอาจจะระเบิดเมื่อใดก็ได้ หากลาวาพุ่งขึ้นมาในตอนนี้ หลายชีวิตคงมอดดับไปกับความร้อนระอุอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีโอกาสได้ล่ำลาใครด้วยซ้ำ
คินตามณี (Kintamani) คือชื่อหมู่บ้านที่สวยงามแห่งหนึ่งในเกาะบาหลี อินโดนีเซีย ตั้งอยู่ริมปากปล่องภูเขาไฟกุนุง บาตูร์ มีทะเลสาบบาตูร์ และภูเขาไฟกุนุงบาตูร์ เป็นฉากหลังเป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งของบาหลี ที่ยืนดูในวันนั้นอยู่ในอาณาบริเวณปากปล่องภูเขาไฟ ที่เกิดจากภูเขาไฟระเบิดเมื่อประมาณ 30,000 ปีมาแล้วประกอบไปด้วยหมู่บ้านเพเนโลกันและคินตามณี แต่ละหมู่บ้านจะมีวิวให้ทัศนาต่างๆกัน แต่มีความงดงามของธรรมชาติที่ยากจะบรรยายได้ หมอกลอยฟ่องจากปล่องภูเขาไฟโรยตัวเหนือทะเลสาบ เหมือนกำลังล่อยลอยอยู่ในแดนสวรรค์ที่สถิตอยู่ในโลกมนุษย์ นอกจากนั้นยังมีร้านขายผลไม้เมืองหนาว และมีผลไม้หลายอย่างนำเข้าจากประเทศไทย
ยืนมองความงดงามของธรรมชาติไปพลางถ่ายภาพเพื่อเก็บความทรงจำไว้ในใจให้นานเท่านาน เพราะไม่อาจจะรู้ได้ว่าอีกนานเท่าไหร่จึงจะมีโอกาสได้กลับมาเยือนดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง สถานที่บางแห่งเพียงแต่ดูแต่ไม่เห็น บางแห่งทั้งดูและเห็นนอกจากนั้นจึงเก็บบันทึกความทรงจำลงในห้องแห่งจิตวิญญาณอีกด้วย คิดอะไรเพลินๆก็พลันเหลือบไปเห็นพนักงานบริการประจำห้องอาหารถือถาดเครื่องเซ่นไหว้เดินไปที่ศาลเล็กๆที่มุมห้องอาหาร มองดูคล้ายศาลพระภูมิในเมืองไทย จากนั้นก็ทำการไหว้และถวายเครื่องสักการะ พอคนหนึ่งไหว้เสร็จอีกคนก็ตามมา และแทบทุกคนจะมาไหว้ที่ศาลแห่งนี้ จึงยกกล้องเก็บบันทึกภาพไว้
พอเห็นว่าพนักงานเหล่านั้นว่างจากการเก็บสิ่งของต่างๆจึงเข้าไปถามว่า “พวกเธอไหว้อะไรกัน ใครที่สถิตอยู่ที่ศาลแห่งนี้” เธอคนนั้นอายุในวัยกลางคนแล้วหันมาโต้ตอบเป็นภาษาอินโดนีเซีย จึงต้องหาที่พึ่ง บังเอิญมีพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งที่จำพรรษาในอินโดนีเซียมาหลายปีจนพูดภาษาอินโดนีเซียได้ จึงขอให้ท่านแปลให้ฟัง
หญิงวัยกลางคนนั้นบอกว่า “ไหว้เทพเทวดาที่สถิตอยู่บนศาล และไหว้ยักษ์ไหว้มารที่อยู่ข้างล่าง” เมื่อถามว่า “ทำไมต้องไหว้ยักษ์ไหว้มารด้วย ไหว้เทวดาอย่างเดียวก็น่าจะพอ” เธอบอกว่า “ต้องไหว้ทั้งสองอย่าง ไหว้เทพเพื่อความเจริญก้าวหน้า การอยู่ดีมีสุข ส่วนการไหว้ยักษ์ไหว้มารคือการไหว้สิ่งที่จะคอยขัดขวางความเจริญ หากเทพดลใจให้เจริญแล้ว แต่หากมารคอยขัดขวาง การทำงานก็จะลำบากไม่ราบรื่น” เธอบอกอย่างนั้น
เมื่อถามว่าไหว้วันละกี่ครั้ง เธอบอกว่า “ตามปรกติของห้องอาหารแห่งนี้จะไหว้วันละสามครั้ง เช้า เที่ยง และเย็น ต่างคนต่างไหว้ ไม่ได้ไหว้พร้อมกัน เจ้าของร้านอาจจะกราบไหว้เพื่อความเจริญของร้าน ส่วนพนักงานก็กราบไหว้เพื่อความเจริญมั่นคงของอาชีพ ความปรารถนาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน"
ข้อสงสัยอีกประการหนึ่งคือเมล็ดข้าวที่อยู่ตรงหน้าผากนั้นหมายถึงอะไร เธอบอกว่า “เพื่อเป็นการแสดงออกถึงความอุดมสมบูรณ์ มนุษย์อยู่ได้เพราะอาหาร โดยเฉพาะข้าวนั้นคืออาหารหลักที่สำคัญ ไหว้เทพและมารแล้วยังนำเมล็ดข้าวมาติดไว้ที่หน้าผากเพื่อจะได้ระลึกนึกถึงบุญคุณของข้าวที่หล่อเลี้ยงชีวิตให้ดำรงคงอยู่” ไม่นานก็มีพนักงานหญิงอีกคนเข้ามาร่วมเพื่อขอให้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
ความเชื่อของคนนั้นว่ากันไม่ได้ ผู้คนในเกาะบาหลีจะมีความเชื่อพื้นฐานอย่างหนึ่งที่พบได้ทั่วไปคือการสักการะเทพเจ้าอันเป็นตัวแทนของความดี และไหว้และยักษ์อันเป็นตัวแทนของความร้าย เมื่อไหว้ทั้งความดีและไหว้ทั้งความร้าย เขาเชื่อกันว่าจะมาซึ่งสันติสุขแก่ชีวิต เป็นความพอดีของชีวิตที่มีความสมดุลทั้งดีและร้าย
ศรัทธาแปลว่าความเชื่อ ในคำสอนตามหลักการแห่งพระพุทธศาสนานั้น ศรัทธาความเชื่อจะต้องมาควบคู่กับปัญญาเสมอเช่นในพลสูตร ศรัทธาเป็นหลักธรรมข้อหนึ่งที่อยู่ในฐานะแห่งธรรมที่เป็นกำลังหรือเป้นอินทรีย์หมายถึงธรรมที่เป็นใหญ่ในกิจของตน ที่ีเป้นพลังเพราะทำให้เกิดความมั่นคง ดังที่แสดงไว้ในสังขิตสูตร อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต (22/13/10) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลายกำลังห้าประการนี้คือกำลังคือศรัทธา กำลังคือวิริยะ กำลังคือสติ กำลังคือสมาธิ กำลังคือปัญญา”
ศรัทธาเป็นทรัพย์อันประเสริฐ หรือเป็นทรัพย์คือคุณธรรมประจำใจอย่างประเสริฐที่เรียกว่าอริยทรัพย์ดังที่แสดงไว้ในธนสูตร สัตตกนิบาต อังคุตตรนิกาย (23/4/3)ความว่า“ดูกรภิกษุทั้งหลาย พละเจ็ดประการนี้ คือ ศรัทธาพละ วิริยพละ หิริพละ โอตตัปปพละ สติพละ สมาธิพละ ปัญญาพละเป็นที่เจ็ด ภิกษุผู้มีพละด้วยพละเจ็ดประการนี้ เป็นบัณฑิตย่อมอยู่เป็นสุข พึงเลือกเฟ้นธรรมโดยแยบคาย ย่อมเห็นอรรถแห่งธรรมชัดด้วยปัญญา ความหลุดพ้นแห่งจิต (จริมกจิต) คือ ความดับของภิกษุนั้นย่อมมีได้ เหมือนความดับแห่งประทีป ฉะนั้น”
ศรัทธายังเป็นเหตุแห่งความสมหมาย ธรรมที่เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขเบื้องหน้า ธรรมเป็นเหตุให้สมหมาย หลักธรรมอันอำนวยประโยชน์สุขขั้นสูงขึ้นไปที่เรียกว่าสัมปรายิกัตถสังวัตตนิกธรรม ดังที่แสดงไว้ในทีฆชาณุสูตร อังคุตรนิกาย สัตตกนิบาต (23/144/227) ความว่า “ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรมสี่ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร คือสัทธาสัมปทา สีลสัมปทา จาคสัมปทา ปัญญาสัมปทา”
จากนั้นจึงได้อธิบายความหมายของธรรมแต่ละข้อต่อไปว่า “ดูกรพยัคฆปัชชะ กุลบุตรในโลกนี้มีศรัทธาคือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็น ผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดูกรพยัคฆปัชชะนี้เรียกว่าสัทธาสัมปทา
ดูกรพยัคฆปัชชะ สีลสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้น จากปาณาติบาต ฯลฯ เป็นผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าสีลสัมปทา
ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็จาคสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ มีจิตปราศจากมลทินคือความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามือชุ่มยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน ดูกรพยัคฆปัชชะนี้เรียกว่าจาคสัมปทา
ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็ปัญญาสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้มีปัญญา คือประกอบด้วยปัญญาที่เห็นความเกิดและความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าปัญญาสัมปทาดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรมสี่ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร
ในพระสูตรนี้พระพุทธเจ้ายังได้ตรัสสรุปเป็นคาถาไว้ว่า “คนหมั่นในการทำงาน ไม่ประมาท จัดการงานเหมาะสมเลี้ยงชีพพอเหมาะ รักษาทรัพย์ที่หามาได้ มีศรัทธา ถึงพร้อมด้วยศีล รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ ชำระทางสัมปรายิกประโยชน์เป็นนิตย์ ธรรมแปดประการดังกล่าวนี้ของผู้ครองเรือน ผู้มีศรัทธา อันพระพุทธเจ้าผู้มีพระนามอันแท้จริงตรัสว่า นำสุขมาให้ในโลกทั้งสอง คือ ประโยชน์ในปัจจุบันนี้และความสุขในภายหน้า บุญ คือ จาคะนี้ย่อมเจริญแก่คฤหัสถ์ด้วยประการฉะนี้”
ผู้ที่มีศรัทธาความเชื่อในสิ่งที่ตนเชื่อและดำเนินตามแนวทางที่ตนเชื่อนั้น แม้ว่าบางครั้งความเชื่อนั้นอาจจะมีคนอื่นไม่เห็นด้วย แต่การปฏิบัติตามสิ่งที่ตนเชื่อก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ใคร คนบาหลียังเชื่อในการมีอยู่ของเทพเจ้าว่าจะอำนวยผลคือความสุขให้แก่ตนเอง และในขณะเดียวกันก็เชื่อในพลังแห่งการทำลายล้างของเหล่ามารทั้งหลาย จึงต้องสักการะทั้งเทพและมาร
ศรัทธาเป็นทรัพย์อันประเสริฐของคนในโลกนี้ มาจากภาษาบาลีว่า "สทฺธีธ วิตฺตํ ปริสสฺส เสฏฺฐํ" แต่การตีกรอบของความเชื่อของแต่ละศาสนานั้นอาจจะตีความต่างกัน ชาวพุทธเชื่อในเชื่อในกฎแห่งกรรม เชื่อในผลของกรรม เชื่อว่าเรามีกรรมเป็นของๆตน และเชื่อในการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ส่วนคนบาหลี อินโดนีเซียยังเชื่อในการมีอยู่ของเทพเจ้าและเหล่ามารทั้งหลาย พวกเขาจึงยึดถือเป็นประเพณีที่จะต้องกราบไหว้บูชาเทพและมารเพื่อความเป็นสิริมงคลของชีวิต
ก่อนจะลาจากคินตามณีและกล่าวคำลาสุภาพสตรีวัยกลางคนพนักงานต้อนรับที่ห้องอาหารสองคนนั้น พวกเธอยังบอกว่า “ภันเต กรุณาส่งภาพถ่ายที่ถ่ายในวันนี้กลับมาให้ด้วย” โดยพวกเธอเขียนชื่อและที่อยู่ฝากให้ด้วย ตอนนี้ภาพยังอยู่ในกล้องยังไม่ได้ล้างอัดเลย คงต้องรอสักพัก แต่ภาพที่พวกเธอไหว้สิ่งที่ตนเคารพด้วยศรัทธาของตนนั้น ไม่ได้เลือนหายไปจากความทรงจำ
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
04/07/55