ในการประชุมพระสงฆ์นานาชาติเนื่องในเทศกาลฉลองพุทธชยันตี 2600 ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ปีนี้มีหัวข้อในการประชุมสี่เรื่องคือพุทธิปัญญาและการปรองดอง พุทธิปัญญาและสิ่งแวดล้อม พุทธิปัญญาและการปรับเปลี่ยนชีวิตมนุษย์ และสัมมนาเชิงปฏิบัติการพระไตรปิฎกสากล โดยมีพระสงฆ์จากทุกนิกายทั่วโลกมาร่วมประชุม สาระสำคัญคือการนำเสนอผลงานของนักวิชาการต่างๆเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้องทั้งสี่เรื่องนั้น หากจะสรุปโดยย่อพุทธิปัญญาและการปรองดอง คือการอยู่ร่วมกับคนอื่น จะมีวิธีการอย่างไรให้อยู่กันอย่างสันติ ในสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และประชุมเสร็จแล้วจะสร้างผลงานร่วมกันคือพระไตรปิฎกฉบับสากล
พุทธชยันตีวันครบรอบอาจจะเป็นวันครบรอบสามวันคือวันประสูติ 2635 ปี วันตรัสรู้ 2600 ปี และวันปรินิพพานไปนาน 2555 ปี พระพุทธศาสนาได้เปลี่ยนแปลงไปมาก มีนิกายใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย แต่นิกายหลักๆยังคงเป็นมหายานและเถรวาท นิกายฝ่ายมหายานบางนิกายนับถือพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งอย่างเช่นลามะในทิเบตเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีพุทธภาวะอันบ่งถึงตัวแทนตามฐานะโดยมีพระพุทธเจ้าเป็นสัญญลักษณ์เช่นในหนังสือพุทธตันตรยาน ได้จำแนกพระพุทธเจ้าไว้หลายพระองค์ คือไวโรจนะ,อักโศภยะ,อโมฆสิทธิ,รัตนสัมภวะ,อมิตาภะและวัชรสัตว์ แต่ละองค์มีวิธีการในการเข้าถึงแตกต่างกันไป
มนุษย์แต่ละคนต่างก็มีความเชื่อแตกต่างกันไป มีบ้างที่เชื่อในสิ่งเดียวกันจนกลายเป็นกลุ่มชนที่นับถือศาสนาเดียวกันมีศาสดาองค์เดียวกัน แต่ทว่าอาจจะมีสิ่งที่เชื่อแตกต่างกัน จึงทำให้มีอาจารย์ต่างๆสอนในสิ่งที่ตนเชื่อ หากมีใจเป็นธรรมยอมรับได้ในสิ่งที่ขัดแย้งกับกับสิ่งที่เราเชื่อก็สามารถอยู่ร่วมกันได้ ส่วนหนึ่งของศาสนาก็มาจากความเชื่อ ศาสนาจึงมีหลากหลายเพราะความเชื่อของคนอาจจะแตกต่างกัน หากตัดความเชื่อส่วนบุคคลออกไปมนุษย์ก็สามารถคบหาสมาคมกันได้ แม้จะมีศาสนาต่างกัน มิตรภาพเกิดขึ้นได้แม้จะต่างศาสนา
ครั้งหนึ่งที่เมืองธัมมศาลา อินเดียชายแดนใกล้กับแคชเมียร์ ใกล้ๆกับปากีสถาน ซึ่งช่วงนั้นมีการรบพุ่งกันอยู่เสมอ เสียงปืนใหญ่ เสียงระเบิดยังแว่วเข้ามาให้ได้ยินบ่อยๆ บางครั้งมีรถบรรทุกทหารหรือผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากระเบิดผ่านไปตามถนนเพื่อที่จะไปยังโรงพยาบาลในอีกเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยกิโลเมตร แต่คนที่นี่กลับอยู่กันอย่างสงบ เสียงปืนใหญ่เสียงระเบิดกลายเป็นสิ่งที่คุ้นเคยประหนึ่งได้ฟังเสียงดนตรี
นอกจากการสู้รบแล้วยังมีภัยจากแผ่นดินไหวที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเวลา บ้านเรือนบางแห่งปลูกอยู่ตามภูเขา หากเกิดแผ่นดินไหวอาจจะถูกกลบฝังไปกับหินหรือดินและหายสาบสูญไปกับแผ่นดินไหวได้ทันที แต่คนที่นี่ก็อยู่กันได้อยู่กันในท่ามกลางแห่งภัยธรรมชาติ คนที่เมืองนี้มีหลายชาติหลายภาษา จากเมืองที่เคยเป็นดินแดนที่น่ากลัว ต่อมาได้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ติดอันดับต้นๆของอินเดีย
เมืองธัมมศาลาเป็นที่ตั้งของรัฐบาลพลัดถิ่นทิเบตโดยมีองค์ทะไล ลามะหรือดาไล ลามะเป็นประมุขทั้งศาสนจักรและอาณาจักร มีวัดของพระพุทธศาสนาแบบทิเบตมากมาย กระจายอยู่ตามหุบเขาต่างๆ ช่วงนั้นหลวงตาไซเบอร์ฯหลงเดินทางไปยังเมืองธัมมศาลาแห่งนี้และพักอยู่นานหลายเดือน วันไหนที่อากาศเลวร้ายอาจจะมีหิมะตกโปรยปรายตลอดวัน บางวันฝนตกพรำทั้งวัน แต่วันไหนที่อากาศดีท้องฟ้าจะสดใส แสงแดดจะส่งประกายงดงามท่ามกลางหุบเขา
ผู้คนที่เมืองนี้อาจจำแนกได้สามประเภทคือชาวอินเดียพื้นเมือง คนทิเบตที่มีทั้งชาวบ้านและลามะ และประเภทสุดท้ายคือพวกนักท่องเที่ยวที่มักจะเดินทางไปกราบนมัสการองค์ทะไล ลามะ บางคนอยู่ที่นั่นนานหลายเดือน ชาวยุโรปบางคนบวชเป็นพระลามะเลยก็มีให้เห็นอยู่ทั่วไป
หลวงตาไซเบอร์ฯอยู่ว่างๆก็มักจะเดินเล่นไปยังสถานที่ต่างๆที่ไม่เคยไป บางวันก็นั่งรถยนต์โดยสารจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองหนึ่ง บางวันก็เดินเท้าไปยังสถานที่ต่างๆ ที่อยากไป ครั้งหนึ่งเผลอเดินทางไกลโดยนั่งรถโดยสารจากเมืองธัมมศาลาไปยังอีกเมืองหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าทิวทัศน์สองข้างทางงดงามจึงลงรถที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เดินเล่นไปถ่ายภาพไป แต่สมัยนั้นยังเป็นกล้องที่ใช้ฟิล์ม ถ่ายมาแล้วก็ไม่รู้เก็บไว้ที่ไหน ไม่ได้คิดว่าจะนำไปใช้อะไร ถ่ายเล่นๆเพื่อความบันเทิงในยามอยู่ห่างไกลจากมาตุภูมิ
เดินชมสถานที่ไปอย่างเพลิดเพลินเข้าวัดนั้นออกวัดนี้มีทั้งวัดของลามะ วัดของนักบวชฮินดู พอย้อนกลับมาดูอีกทีดวงอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขาแล้ว มัวแต่เพลินจนลืมดูเวลา รถยนต์โดยสารก็ไม่มีจะกลับเมืองธัมมศาลาก็คงต้องใช้เวลาในวันรุ่งขึ้น วันนี้คงกลับที่พักไม่ทันการณ์แล้ว
คิดถึงที่พักจึงแวะเข้าไปที่วัดฮินดูแห่งหนึ่งมีนักบวชที่เรียกว่า “สาธุ” ใส่ชุดสีเหลืองอมแดง ไว้ผมยาวไว้เครา ไว้หนวดยาวเฟื้อย ตอนนั้นพอคุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้าง จึงบอกไปว่าขอพักที่นี่คืนหนึ่ง เพราะกลับที่พักที่เมืองธัมมศาลาไม่ได้ นักบวชย่อมเข้าหานักบวช ผมก็เป็นนักบวช ท่านก็เป็นนักบวช แม้จะมีความเชื่อต่างกัน แต่ก็เดินทางในวิถีเดียวกัน เป็นทางแห่งสันติสุข
สาธุท่านนั้นยกมือขึ้นไหว้และเอ่ยคำว่า “ทะไล ลามะ ๆ” กลับไปกลับมาหลายรอบ จากนั้นจึงหาน้ำชาผสมนมที่เรียกว่า “ไจย์” มาให้ วันนั้นนั่งคุยกันข้างๆกองไฟ สาธุท่านนั้นคุยอะไรไปเรื่อยในทำนองที่ว่า ไฟกองนี้ไม่เคยดับมานานแล้ว ไฟคือสิ่งให้แสงสว่างแก่โลก หากไม่มีไฟโลกนี้คงมืดสนิท อะไรประมาณนั้น เพราะตอนนั้นฟังภาษาฮินดีได้บ้าง คุยกันเป็นภาษาฮินดีผสมภาษาอังกฤษ แต่สาธุท่านนั้นรู้ภาษาอังกฤษบ้าง พอๆกับคู่สนทนา จึงบอกให้สาธุท่านนั้นพูดภาษาฮินดี หากมีปัญหาจะถามเป็นฮินดีบ้างอังกฤษบ้าง
คุยไปสักพักต่างก็หันมาพูดภาษาที่ตนเองถนัด ลองนึกดูคนหนึ่งพูดภาษาฮินดี อีกคนพูดภาษาไทยผสมอังกฤษและภาษากายมือไม้วุ่นวายไปหมด คนละภาษากันเลย แต่แปลกเรื่องของภาษาเป็นสิ่งที่เข้าใจกันได้ ดื่มน้ำชาไปคุยกันไปและหลับข้างๆกองไฟนั่นแหละ เนื่องจากอากาศหนาวเย็น เปลวไฟจากถ่านและไม้จึงให้ความอบอุ่นได้เป็นอย่างดี
มารู้สึกตัวอีกครั้งก็รุ่งสางแล้ว อากาศเหน็บหนาวแต่นักบวชท่านนั้นกลับถอดเสื้อนั่งสาธยายมนต์อยู่ข้างๆกองไฟ พลิกกายกลับมาเห็นชุดนักบวชมาห่มคลุมบนร่างกายของอาตมาเสียเอง เห็นรอยยิ้มแห่งเมตตาและความเอื้ออาทรก็ได้ยิ้มจืดๆ จากนั้นสาธุท่านนั้นนำอาหารซึ่งเป็นจาปะตีแผ่นบางๆสองสามแผ่นพร้อมกับน้ำชามาว่างตรงหน้าและเชิญให้ฉันอาหารเช้า
ถึงเวลาที่จะต้องออกเดินทางจึงยื่นเงินรูปีให้นักบวชท่านนั้น 200 รูปี พร้อมทั้งขอบคุณที่ให้ที่พักพิง สาธุท่านนั้นแสดงอาการปฏิเสธ พลางเอ่ยขึ้นในทำนองว่า “นักบวชด้วยกันทำไมต้องคิดเงินกันด้วย ผมต้อนรับท่านในฐานะนักบวช มิใช่นักท่องเที่ยว ถึงแม้เราจะมีศาสดาคนละองค์กัน แต่มีความเชื่อคล้ายกันคือเชื่อในศาสดาแม้จะเป็นศาสดาคนละองค์กันก็ตามทีเถิด ท่านเชื่อศาสดาของท่าน ผมก็เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าของผม แต่เราก็คบหาเป็นมิตรสหายกันได้ เก็บเงินของท่านไว้เถอะ เวลาในการเดินทางยังมีอีกยาวไกล” นานๆจึงจะได้พบกับคนอินเดียที่ไม่อยากได้เงิน ส่วนมากมักจะไม่มีใครปฏิเสธ แม้แต่เหล่านักบวชทั้งหลายบางครั้งแม้ไม่ให้ก็ยังขอ
ตอนนั้นรู้สึกละอายใจที่ตีคุณค่าของการต้อนรับด้วยความเป็นมิตรออกมาเป็นเงินตรา เงินอาจจะซื้อได้หลายอย่างในโลกนี้ แต่เงินซื้อมิตรภาพไม่ได้ ก่อนจากกันสาธุท่านนั้นยังมอบหนังสือให้เป็นที่ระลึกเล่มหนึ่ง “Spirit of Himalaya:The Story of Seeker” "มีฝรั่งคนหนึ่งลืมไว้ ผมอ่านไม่ออก เรื่องมันเป็นอย่างไร หากกลับมาอีกครั้งเล่าให้ผมฟังด้วย" สาธุบอกอย่างนั้น ส่วนผู้เขียนไม่มีของมีค่าอื่นใดติดตัวเลย จึงไม่มีอะไรเป็นที่ระลึก หนังสือเล่มนี้เมื่ออ่านและแปลจบจึงได้ทราบว่าเป็นเรื่องของนักบวชท่านหนึ่งที่เที่ยวแสวงหาสัจจะ ณ เชิงผาหิมาลัย อ่านหนังสือเล่มนี้เมื่อไหร่คิดถึงนักบวชที่ไม่รู้จักชื่อท่านนั้น ในคืนที่เหน็บหนาวที่เชิงผาหิมาลัย เมืองที่ไม่รู้จักชื่อ
เหตุการณ์ผ่านมาหลายปีแล้วยังไม่มีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมสาธุท่านนั้นอีกเลย แม้จะเดินทางไปอินเดียอีกหลายครั้งแต่ก็ไม่มีโอกาสและเวลาพอที่จะเดินทางไปเยี่ยมสหายจากต่างศาสนาท่านนั้น ท่านจะอยู่หรือจากไปแล้วก็ไม่อาจทราบได้ เลยกลายเป็นมิตรสหายที่ได้พบกันเพียงวันเดียวและอยู่ร่วมกันเพียงคืนเดียว แต่มิตรภาพยังอยู่ในความทรงจำตราบนานเท่านาน แม้จะเป็นเพียงมิตรภาพของคนผ่านทาง พบกันบนทางผ่านแห่งกาลเวลา ใกล้ๆเมืองธัมมศาลาเมืองในหุบเขา เชิงผาหิมาลัย
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
05/06/55