ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

         หลายปีมาแล้วได้มีโอกาสพบกับท่านสุธัมโมภิกขุ ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดอุดรธานี ท่านเป็นพระที่ไม่ได้ศึกษาปริยัติธรรมมากนัก จบเพียงนักธรรมชั้นตรี แต่วัตรปฏิบัติและภูมิรู้ไม่เป็นรองใคร ท่านไม่ค่อยพูดคือชอบฟังมากว่าพูด นานๆครั้งจึงจะเห็นท่านพูดประโยคยาวๆสักครั้ง แต่วันนั้นบังเอิญท่านพูดและได้เมตตาเล่าประสบการณ์ชีวิตช่วงหนึ่งที่เขาชีโอน จังหวัดชลบุรีให้ฟัง 
         ท่านเริ่มต้นด้วยคำพูดที่ชัดถ้อยชัดคำว่า “ตอนนั้นผมบวชได้ไม่นาน หลังจากสอบนักธรรมชั้นตรีเสร็จแล้วได้เดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่จังหวัดอุดรธานี ตั้งใจไว้ว่าจะลาสิกขาเสียที เพราะยังมีภาระที่จะต้องทำอีกหลายอย่างช่วงที่มาบวชนั้นก็เป็นเพียงการบวชตามใจแม่ หมดสัญญาแล้วก็ลาสิกขากลับไปดำเนินชีวิตตามที่ควรจะเป็น” ท่านสุธัมโมภิกขุ เริ่มต้นเล่าเรื่องอย่างช้าๆ
         แต่เพราะท่านอาจารย์เจ้าอาวาสของวัดประจำหมู่บ้าน ทำให้เหตุการณ์แปรเปลี่ยนไปอีกทาง สุธัมโมพักที่วัดบ้านเกิดได้เพียงสองคืน ท่านเจ้าอาวาสก็มีภารกิจเดินทางไปยังจังหวัดชลบุรี พอท่านเอ่ยปากชวนสุธัมโมก็ตกปากรับคำท่านทันที 

         การเดินทางในยุคนั้นไม่ได้สะดวกนักต้องใช้เวลาถึงหนึ่งวันเต็มๆ จากอุดรถึงชลบุรี เข้าพักที่วัดญาณสังวราราม อำเภอบางละมุง เข้าพักบนยอดเขาชีโอน ข้างๆเขาชีจรรย์ที่ปัจจุบันมีภาพแกะสลักพระพุทธรูปบนหน้าผานั่นแหละ แต่สมัยนั้นยังเป็นป่ารก

 

เจ้างูเหลือมหางกุดที่เขาชีโอน

         เขาชีโอนเป็นป่าดินเหนียว บังเอิญช่วงนั้นฝนพึ่งตกได้ไม่นาน เวลาเดินดินจะติดเท้าต้องถอดรองเท้าเดินตลอด พอไปถึงมืดค่ำแตกก็แยกย้ายกันหาที่พัก
         ท่านสุธัมโม เหนื่อยล้าจาการเดินทาง ที่พักตามกุฎิต่างๆเต็มหมด จึงได้ที่พักบริเวณปากถ้ำแห่งหนึ่งเห้นว่าพอหลบฝนได้ กลางกลดเสร็จไหว้พระขอขมา บอกเจ้าที่เจ้าทาง จากนั้นนั่งสมาธิแผ่ส่วนกุศลไปให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายที่สิงสถิตย์ ณ ภูเขาแห่งนั้น ก่อนจะหลับสนิท
         รุ่งเช้ารีบตื่นออกบิณฑบาต ยังไม่ได้เก็บที่พักกลดก็ยังคงกางอยู่อย่างนั้น หลังกระทำภัตตกิจเสร็จแล้วจึงได้กลับมายังที่พัก พอลดมุ้งกลดลงเท่านั้นต้องผวาเกือบตั้งสติไม่ทัน เพราะที่นอนเมื่อคืนที่ผ่านมาถูกยึดครองโดยเจ้างูเหลือขนาดเท่าต้นขาตัวหนึ่ง นอนขดหลับสนิทรอบๆผ้าสังฆาฏิที่ใช้แทนหมอนเมื่อคืนนั่นเอง สุธัมโมสะดุ้งทำอะไรไม่ถูก แต่พอตั้งสติได้จึงนั่งลงเพ่งกระแสจิตไปยังเจ้างูเหลือมนั้น พลางพูดเบาๆว่า “ขอบคุณพี่เหลือมมากที่ไม่ทำร้ายน้องเมื่อคืนที่ผ่านมา พี่คงอิ่มแล้ว พักผ่อนเพียงพอแล้ว ตอนนี้น้องขอบริขารและจะย้ายไปพักที่อื่น ที่นี่มอบให้พี่เหมือนเดิม ขอโทษด้วยที่มารบกวนความสงบสุข น้องไม่รู้จริงว่าพี่อยู่ในถ้ำนี้ ถ้ารู้คงไม่กรบกวนหรอก” 

         งูเหลือมตัวนั้นพอได้ยินเสียงได้ขยับตัวนิดหนึ่ง จะเป็นเพราะกลัวคนหรือฟังภาษาคนรู้เรื่องก็เหลือจะเดา งูเหลือมค่อยเลื้อยหายเข้าไปในถ้ำ สุธัมโธจึงเก็บช้าวของเครื่องใช้ต่างๆกลับหาที่พักใหม่ พอเล่าเรื่องให้พระเจ้าถิ่นฟัง ท่านได้แต่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยปากสั้นๆว่า “มันชื่อเจ้าหางกุด เพราะหางมันขาด ผัวพึ่งถูกชาวบ้านฆ่าตาย ปกติจะโหดร้ายไล่กินไก่ป่า สัตว์ป่าไม่เลือกหน้า คืนที่ผ่านมาคงอิ่มเต็มที่ ท่านสุธัมโมจึงมีชีวิตเหลือรอดมาได้”
         เคยเป็นไหมอาการที่หนาวสะท้านทรวง อาหารที่พึ่งกลืนลงท้องปั่นป่วนจะสำรอกออกมาให้หมด เกิดอาการเส้นขนตามผิวหนังชูชัน เข่าอ่อนหมดเรี่ยวแรง ทรุดลงนั่งอย่างไม่รู้ตัว ผมรอดตายมาได้หวุดหวิดไม่อย่างนั้นป่านนี้คงไปนอนอยู่ในท้องของเจ้าหางกุดแล้ว 
         เจ้าเหลือมหางกุดยังคงแวะเวียนแสดงตนให้พระภิกษุในเขาชีโอนเห็นอยู่บ่อยๆ จนไม่มีใครกล้านอนพักตามถ้ำอีกต่อไป แต่เจ้าหางกุดก็ไม่เคยทำร้ายใคร 

         เย็นวันหนึ่งสุธัมโมกำลังเดินจงกรมข้างๆที่พัก ได้ยินเสียงป่าไม้ไหวลู่เหมือนกำลังมีสัตว์ป่าตื่นกลัว ตามปกติแล้วตามต้นไม้ที่ข้างทางจงกรมจะมีสัตว์ป่าเช่นกระรอก กระแต มาป้วนเปี้ยนให้เห็นอยู่เป็นประจำ แต่วันนั้นต่างกันไป เพราะป่าไหวมาจากด้านล่าง สุธัมโมยังคงเดินจงกรมต่อไป
         ไม่นานนักเมื่อความเงียบสงบมาเยือน สุธัมโมยังคงเดินกลับไปกลับมา พลันสายตาก็ประสบพบเข้ากับเจ้าหางกุดนอขดตัวนิ่งสงบ ณ ที่สุดทางจงกรม สุธัมโมตั้งสติได้จึงยืนกำหนดจิตเพ่งไปยังเจ้างูเหลือมตัวนั้น “สวัสดี พี่สาว น้องไม่รู้ว่าพี่พึ่งสูญเสียสามีไป ขอแสดงความเสียใจด้วย ชีวิตก็เป็นแบบนี้มีทุกข์มีสุขคละเคล้ากันไป ภาษาพระเรียกว่าโลกธรรมแปดคือ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุข มีทุกข์ ผสมกันอยู่ วันนี้น้องดีใจที่พี่สาวมาเยือน เอาเถอะมาปฏิบัติธรรมร่วมกันแต่พี่ไม่ต้องเดินนะ นอนอยู่เฉยๆก็ได้ แต่ขอให้กำหนดจิตแผ่ส่วนกุศลไปยังผู้ที่ทำร้ายสามีพี่ ให้อภัยเขา ชาติหน้าเกิดพี่จะได้เกิดเป็นมนุษย์มีเวลาทำความดีได้เต็มที่” พูดจบสุธัมโมภิกขุก็เดินจงกรมต่อไป

         ท่านสุธัมโมเล่าต่อไปว่าว่า “เป็นเรื่องแปลกจะเป็นเพราะอุปาทานนึกเอาเองหรือจะเป็นเพราะเจ้าหางกุดฟังภาษามนุษย์รู้เรื่องก็สุดจะคาดเดา งูเหลือมตัวนั้นนอนนิ่งไม่ติงไหวตลอดเวลาที่สุธัมโมเดินจงกรม จนกะทั่งตะวันลับฟ้า ความมืดได้แผ่คลุมพื้นที่ อากาศเริ่มหนาวเย็น สุธัมโมจึงเอ่ยขึ้นเบาๆว่า “ไปเถอะวันนี้พอแค่นี้ กลับไปพักผ่อนให้สบาย พรุ่งนี้ถ้าว่างค่อยมาใหม่” ขาดคำเจ้าหางกุดก็เลื้อยหายลับไปในราวป่า เหลือไว้แต่ความเงียบสงัด
         วันต่อมาเจ้าหางกุดมักจะแวะเวียนมาให้เห็นประจำบางครั้งมาหลบนอนใต้ถุนกุฎิ มันยังคงนิ่งเงียบไม่มีอาการดุร้ายให้เห็น แว็บหนึ่งแห่งความคิด สุธัมโมคิดถึงหญิงแม่ลูกอ่อนที่พึ่งสูญเสียสามีไป อาการเหงาเศร้าซึมที่เจ้าหางกุดแสดงออกมีอาการคล้ายมนุษย์ที่ตกอยู่ในสภาวะแห่งการสูญเสีย  ผมกลายเป็นเหมือนญาติสนิทกับเจ้าหางกุด แต่ก็ไม่กล้าเข้าใกล้ เธอก็คงรู้คอยวนเวียนห่างๆ
         “หากผมเล่าให้คนอื่นฟังเขาคงหัวเราะ หาว่าผมบ้า ฟังแล้วเงียบไว้ คนที่ไม่เชื่อจะหาว่าท่านพลอยบ้ากับผมไปด้วย” ท่านสุธัมโมปิดการสนทนา
         เรื่องนี้ฟังแล้วไม่ต้องคิดมากอย่าพึ่งเชื่อหรือไม่เชื่อ ประสบการณ์ทางจิตเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะจิตที่มีพลังย่อมสามารถใช้งานได้แม้แต่กับสัตว์ดิรัจฉาน เขาเหล่านั้นก็มีจิตเหมือนมนุษย์เพียงแต่สภาวะของการแสดงออกอาจไม่เหมือนกัน ในพุทธประวัติมีเรื่องที่พระพุทธเจ้าไปจำพรรษาโดยมีลิงและช้างคอยอุปัฏฐาก 
         ในยุคสมัยปัจจุบันก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับงูจงอางที่วัดหนองป่าพง มีเรื่องอยู่ว่า “วัดหนองป่าพงช่วงแรกๆมีงูจงอางหางกุดอยู่ตัวหนึ่ง หลวงพ่อชา สุภัทโท เรียกมันว่าไอ้หางกุด ตอนเช้าเมื่อหลวงพ่อออกไปบิณฑบาต มันก็เลื้อยตามทับรอยเท้าของหลวงพ่อไปด้วย แต่หลวงพ่อไม่เคยเห็น จนกระทั่งชาวบ้านร่ำรือกันว่าหลวงพ่อเอางูจงอางมาบิณฑบาตด้วย  หลวงพ่อจึงคอยสังเกตดูจนกระทั่งพบรอยงูเลื้อย จากวัดจนกระทั่งถึงศาลพระภูมิทางเข้าหมู่บ้านรอยงูก็หายไป พอหลวงพ่อกลับจากบิณฑบาตมันก็เลื้อยตามหลวงพ่อจนถึงวัด จากนั้นเวลาที่หลวงพ่อชาจะออกบิณฑบาตจึงได้พูดกับงูจงอางตัวนั้นว่า “เจ้าหางกุดอย่าไปบิณฑบาตกับอาตมานะ คนเขากลัว”ต่อมาท่านจึคงได้บอกกับเจ้าหางกุดว่า “ให้หลบหนีเข้าไปหาที่อยู่ในป่ารกทึบเสียเถอะ อย่าออกมาให้คนเห็นอีก เพราะวัดนี้จะมีคนมามากขึ้น คนเขาจะกลัว” กาลเวลาต่อมาก็ไม่มีใครเห็นเจ้างูจงอางหางกุดอีกเลย

         เจ้างูเหลือมหางกุดที่เขาชีโอน วัดญาณสังวราราม ชลบุรี กับเจ้างูจงอางหางกุด ที่วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี แม้จะต่างสถานะกัน แต่พฤติกรรมใกล้เคียงกัน แสดงว่าแม้แต่สัตว์ร้ายก็ยังมีสัญชาติญาณรับรู้ได้ถึงพลังแห่งความเมตตา  แล้วพวกมนุษย์แท้ๆไฉนหลงลืมเมตตาธรรมไปได้ 
         ผู้มีเมตตาย่อมไม่มีเวรและภัยแก่ใครดังที่ปรากฎในมณิภัททสูตรที่ อังคุตตรนิกาย สคาถวรรค (15/813/250)ความว่า "ผู้ใดมีใจยินดีในความไม่เบียดเบียนตลอดวันและคืนทั้งหมด และเป็นผู้มีส่วนแห่งเมตตาในสรรพสัตว์ ผู้นั้นย่อมไม่มีเวรกับใครๆ" เมตตาธรรมนี่แหละคือธรรมค้ำจุนโลกดังที่มีพุทธภาษิตยืนยันไว้ว่า "โลโกปตฺถมฺภิกา เมตตา"..... สาธุ  

 

พระมหาบุญไทย   ปุญญมโน
เล่าเรื่อง
17/03/53

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก