หากอยากจะรู้ว่าเรารวยหรือจนให้เปรียบเทียบกับคนอื่น หากอยากจะรู้ว่าเราสวยหรือหล่อหรือไม่ให้อยู่ใกล้คนที่ขี้เหร่ เมื่อนั้นเราจะสวยหรือรูปหล่อขึ้นทันที แต่ความสุขและความทุกข์นั้นเปรียบเทียบกับใครไม่ได้ ใครจะมีความสุขหรือความทุกข์มากว่ากัน เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในบอกใครไม่ได้และเปรียบเทียบกับใครเขาไม่ได้ เพราะความสุขหรือความทุกข์เป็นเรื่องที่อยู่ภายในจิตใจของแต่ละคน ดูจากสภาพภายนอกแล้วบอกไม่ได้
วันนั้นฉันเพลเสร็จที่วัดถ้าแก้ว จังหวัดชัยภูม เจ้าอาวาสนิมนต์ขึ้นปัจจุบันทันด่วนกำหนดเวลาให้เรียบร้อยบ่ายตรง ให้แสดงธรรมให้แก่ผู้ที่บวชชีพราหมณ์ ซึ่งจัดทุกปีในช่วงวันที่ 1-9 เมษายน บางปีสามวัน บางปีเจ็ดวัน แต่ปีนี้นัยว่าจัดเต็มเก้าวันเต็มๆ มีผู้ร่วมบวชชีพราหมณ์มากกว่าหนึ่งห้าสิบคน
งานนี้เทศน์แบบไม่มีหัวข้อคือพูดไปเรื่อยๆในเวลาสามชั่วโมง ต้องบอกว่าเป็นงานที่ยากที่สุดงานหนึ่ง เพราะคนฟังมีทุกเพศทุกวัย นักเทศน์ทั้งหลายหากพบกับกลุ่มผู้ฟังในลักษณะนี้ต้องใช้ฝีมือมากเป็นพิเศษ เพราะหากพูดเรื่องที่ยากเกินไป พวกเด็กๆจะพากันคุยแข่งกับผู้แสดงธรรม แต่ถ้าพูดเรื่องง่ายเกินไป กลุ่มผู้สูงวัยก็จะง่วง บางครั้งมีเสียงกรนแข่งกับผู้บรรยายก็มี
ความจริงไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องไปแสดงธรรมอะไรแก่ใครที่ไหน เพียงแต่ต้องการไปเยี่ยมเยือนเจ้าอาวาสเท่านั้น อีกอย่างการบรรจุอัฐิของญาติผู้ใหญ่ที่ทำบุญอุทิศให้ตั้งแต่วันก่อนก็จะบรรจุอัฐิที่วัดแห่งนี้ จึงไม่มีทางเลี่ยงต้องเดินทางไปร่วมงานจนได้ พักหลังๆไม่ค่อยได้ขึ้นธรรมาสน์สักเท่าไหร่ มัวแต่เรียนจึงไม่ค่อยได้เปิดเผยตัวเท่าใดนัก หรือหากจะแสดงอะไรออกไปก็เขียนมากกว่าพูด
การเขียนกับการพูดแตกต่างกัน เขียนผิดเรากลับมาแก้ไขใหม่ได้ แต่การพูดนั้นพูดผิดก็ต้องปล่อยให้ผิด แก้ไขไม่ได้ นักพูดกับนักเขียนจึงมีลักษณะที่ต่างกัน บางคนเก่งพูด บางคนเก่งเขียน คนที่เก่งทั้งพูดและเขียนจึงหาได้ยาก เหมือนกับพระสงฆ์ที่เก่งทั้งเรียนและปฏิบัติในบุคคลคนเดียวกันนั้นหายาก นักเรียนไม่ค่อยมีเวลาปฏิบัติ ส่วนนักปฏิบัติไม่ค่อยมีเวลาเรียน ต้องวางอย่างใดอย่างหนึ่งไว้ก่อนงานนั้นจึงจะได้ผล
หากพูดคนเดียวไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็เหนื่อยมากแล้ว วิธีการที่ใช้ในวันนั้นคือวิธีเก่าที่เคยใช้ได้ผลนั่นคือแทนที่จะพูดคนเดียวก็ใช้วิธีให้ทุกคนพูด เปลี่ยนจากการเทศน์เป็นการบรรยายธรรมทันที เริ่มต้นเกริ่นนำไปสักพักก็เปิดโอกาสให้คนฟังถาม ศาลาการเปรียญเลยกลายเป็นห้องเรียนธรรมศึกษาไปในบัดดล ผู้บรรยายเลยกลายเป็นผู้ฟังและผู้ตอบคำถามแทนที่จะพูดคนเดียว
วิธีการแบบนี้เสี่ยงกับการที่จะตอบคำถามไม่ได้ เพราะบางคำถามคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะมีคนถามเช่นพญานาคมีจริงไหม ผีมีไหม ตายแล้วไปไหน วิญญาณหลังความตายเป็นอย่างไร ทำบุญใส่บาตรทุกวันจะได้บุญไหม หรือวิธีทำบุญที่ได้ผลที่สุดคืออะไร นั่งสมาธิพอจิตสงบแล้วจะทำอย่างไรต่อไป หรือแม้แต่ทำอย่างไรจึงจะร่ำรวย บาปคืออะไร บุญคืออะไร เป็นต้น
คำถามเหล่านี้ตอบไม่ยาก ค่อยๆพูดคุยสนทนาไปตอบคำถามบ้างไม่ตอบบ้าง เวลาสามชั่วโมงหมดไปโดยไม่มีใครง่วง เพราะมีแต่คนอยากคุย มีแต่คนอยากแสดงความคิดเห็น จนกระทั่งเวลาเย็นตะวันกำลังจะลับเหลี่ยมเขา ท่านเจ้าอาวาสได้นำเหล่านักปฏิบัติธรรมออกเดินจงกรมที่ถนน เดินกันเป็นแถว เดินไปเรื่อยๆ ผู้เขียนเองเปลี่ยนจากผู้บรรยายธรรมหันมาเป็นตากล้องจำเป็น ถ่ายภาพเพลินๆ พระสงฆ์เดินนำหน้าเหล่าอุบาสกอุบาสิกาเดินตามหลัง บ่งบอกเป็นนัยอย่างหนึ่งว่า พระสงฆ์เป็นผู้นำของชุมชน เป็นผู้นำของการปฏิบัติและเป็นหลักในการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนา
ผู้เขียนมัวแต่เรียนหนังสือจนอายุมาก ตอนนี้ว่างแล้ว เพราะความรู้ที่ศึกษาเล่าเรียนมาน่าจะพอแล้ว แม้จะยังมีอีกหลายอย่างที่ยังอยากจะเรียน แต่เมื่อหันมาระลึกนึกถึงอายุและสุขภาพแล้วก็ต้องอยมแพ้สังขารตัวเองสำหรับการศึกษาคงสู้ไม่ไหว ต่อไปคงตั้งหน้าปฏิบัติอย่างจริงจังเสียที
ในพระพุทธศาสนาได้วางการศึกษาไว้สามประการเรียกว่า “สิกขา” แปลว่าการการศึกษา ข้อควรศึกษา ในทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค(11/228/172) ระบุไว้สามประการคืออธิสีลสิกขา อธิจิตตสิกขา และอธิปัญญาสิกขา ในแต่ละข้อมีความหมายดังนี้อธิสีลสิกขาคือข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง อธิจิตตสิกขาคือข้อปฏิบัติสำหรับอบรมจิตเพื่อให้เกิดคุณธรรมเช่นสมาธิอย่างสูง และอธิปัญญาสิกขาได้แก่ข้อปฏิบัติสำหรับฝึกอบรมปัญญาเพื่อให้เกิดการรู้แจ้งอย่างสูง คนส่วนมากจึงมักจะจำได้ง่ายๆว่า สิกขาหรือไตรสิกขา คือศีล สมาธิ ปัญญา เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นหลักสำหรับศึกษาคือฝึกหัดอบรมกาย วาจา จิตใจและปัญญา ให้ยิ่งขึ้นไปจนบรรลุจุดหมายสูงสุดคือพระนิพพาน
การศึกษาในพระพุทธศาสนาจึงสรุปลงที่กาย วาจา และจิต หากกายและวาจาเป็นปรกติด้วยศีล จิตสงบด้วยสมาธิ จะทำให้เกิดปัญญาพิจารณาให้เห็นตามสภาพที่มันเป็นหรือสภาพที่เป็นจริง เข้าใจโลกเข้าใจธรรม เข้าใจธรรมชาติเข้าใจชีวิต นั่นคือคนที่ได้รับการศึกษาเต็มรูปแบบเข้าถึงแก่นของศาสนาที่เรียกว่าสัทธรรมหมายถึงธรรมอันดี ธรรมที่แท้ ธรรมของสัตบุรุษ หลักหรือแก่นของศาสนาประกอบด้วยปริยัติสัทธรรม หมายถึงคำสั่งสอนอันจะต้องเล่าเรียนได้พุทธพจน์ ปฏิบัติสัทธรรมได้แก่ปฏิปทาอันจะต้องปฏิบัติได้แก่อัฏฐังคิกมรรคหรืออริยมรรคมีองค์แปดหรือไตรสิกขาคือศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง และปฏิเวธสัทธรรม หมายถึงผลอันจะพึงเข้าถึงหรือบรรลุด้วยการปฏิบัติได้แก่มรรค ผลและนิพพาน วิธีปฏิบัติตามหลักการของพระพุทธศาสนาจึงสรุปลงที่ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ศึกษาปริยัติ เคร่งครัดพระวินัยก็จะดำเนินไปสู่มรรคและผลได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
การศึกษาปริยัติคือพุทธพจน์มีความจำเป็นเพราะหากไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไรแล้วจะปฏิบัติอย่างไร เมื่อศึกษาแล้วนำสิ่งที่เรียนรู้สู่การปฏิบัติ จะได้รู้ว่าหากเกิดปัญหาในระหว่างการปฏิบัติจะได้ย้อนคิดทบทวนตามหลักการที่ได้ศึกษามา ส่วนผลหรือปฏิเวธนั้นปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เร่งรัดอะไรไม่ได้ กำหนดเวลาไม่ได้ เพราะพระธรรมเป็น “ปัจจัตตัง” สิ่งที่รู้เห็นได้เฉพาะตน
วันนั้นที่วัดถ้ำแก้วไม่มีคนรวย ไม่มีคนจน เพราะทุกคนใส่ชุดขาวเหมือนกันหมด ความรวยความจนที่แสดงออกทางเครื่องแต่งกายจึงไม่มี เพราะไม่มีการเปรียบเทียบ ความสวยความงามจากเสื้อผ้าอาภรณ์ก็ไม่มีเพราะทุกคนใส่อาภรณ์สีขาวเหมือนกัน ส่วนความสุขที่เกิดจากการปฏิบัตินั้นสัมผัสได้ด้วยใบหน้าที่สงบเยือกเย็น ส่วนใครจะมีความสุขระดับไหนนั้นเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล หลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดถ้ำแก้วบอกว่าหากยังมีลมหายใจอยู่ก็จะจัดงานบวชชีพราหมณ์ทุกปีกำหนดไว้แน่นอนคือต้นเดือนเมษายน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
11/04/55