เมื่อความเจริญมากขึ้นทำให้โลกต้องเปลี่ยนไปด้วย แต่ความรักของหนุ่มสาวเล่าใช่เปลี่ยนแปลงไปตามโลกนี้ด้วยหรือไม่ พยายามนึกหาเหตุการณ์ที่เกิดจากความรักแต่ไม่ค่อยมีตัวอย่างใหม่ๆให้เห็นที่ได้ยินส่วนหนึ่งเป็นเรื่องราวเก่าๆความรักที่ผิดหวัง หรือความรักที่สมหวังเหมือนน้ำเก่าในขวดใหม่ น้ำยังคงเป็นน้ำแต่อยู่ในขวดใบใหม่ น้ำแทรกตัวอยู่ในโลกนี้แทบทุกพื้นที่ ความรักความชังก็เป็นเฉกเช่นเดียวกันมันแทรกตัวอยู่ในหัวใจของมวลมนุษยชาติ ไม่รู้ว่าจะแสดงตัวออกมาเมื่อใด หากความรักแสดงออกถูกวิธีก็ดีไป แต่ถ้าแสดงตนออกมาผิดทางอาจจะต้องสูญเสียอนาคตที่คาดหวังไว้ก็ได้
ข่าวเด็กวัยรุ่นยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปีที่สามก่อเหตุฆ่ากันตาย สันนิษฐานว่าสาเหตุมาจากความรักซึ่งรักแล้วไม่สมหวัง คนที่เรารักเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น แหมคนเราทำไมโหดร้ายปานนั้น ชีวิตที่จะก้าวยังอีกยาวไกลไฉนด่วนคิดสั้นทำเหตุที่ต้องถูกจับเข้าคุกเสียอนาคตไปอีกคน ซึ่งข่าวทำนองนี้มีให้เห็นตามสื่อต่างๆแทบทุกวัน
ความอื่นหมื่นแสนแม้จะดูเหมือนว่ามีอานุภาพมาก แต่ท้ายที่สุดก็ต้องย้อนกลับมาหาตนเอง เป็นความตัวกลัวตาย จึงไม่มีความรักประเภทใดที่มากไปกว่าความรักตน แต่การที่จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รักตนนั้นกลับอธิบายได้ไม่ง่ายนัก นิยามของคำว่า "รัก" มีมุมมองที่หลากหลาย หากคนทั้งโลกเข้าใจคำว่ารัก โลกนี้คงจะไม่มีผู้ผิดหวังแล้ว
มีเรื่องเล่าว่านานมาแล้วครั้งหนึ่งในวัดป่าในชนบทแห่งหนึ่ง หน้าหนาวเด็กวัดมักจะก่อไฟผิงกันหนาว เช้าวันนั้นภิกษุแดงกับภิกษุดำเดินมาอาศัยไออุ่นจากเปลวเพลิงข้างๆกองไฟ เปลวไฟลุกโชนเนื่องจากได้เชื้อดีคือฟืนแห้ง ภิกษุบวชใหม่ในวัยหนุ่มสองรูปกำลังกำลังถกเถียงกันถึงเรื่องความรัก ภิกษุดำบอกว่าความรักคนอื่นมากว่าย่อมมากกว่ารักตนเช่นผมรักแม่รักพ่อมากจึงยอมตามใจท่านบวชตั้งหนึ่งพรรษาเพื่อทดแทนพระคุณของท่าน หากผมรักตนเองมากกว่าผมก็คงไม่บวช เพราะผมไม่อยากหมดอิสรภาพ ต้องอยู่ในกรอบแห่งธรรมวินัยแทบจะกระดิกตัวไปไหนไม่ได้
ภิกษุแดงยืนยันว่าผมเชื่อตามที่พระพุทธเจ้าที่แสดงไว้ว่า “นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ” แปลว่า ความรักเสมอด้วยความรักตนไม่มี” ผมยังจำที่มาได้ด้วยว่ามาจาก นัตถิปุตตสูตร สังยุตนิกาย สคาถวรรค (15/28/8) ผมจำมาจากการเรียนวิชากระทู้ธรรมนักธรรมชั้นตรีที่อาจารย์สอน
แหมท่านก็เล่นยกพุทธพจน์ขึ้นมาอ้างผมก็เถียงไม่ได้สิ ผมหมายถึงว่าความรักในบุคคลอื่นๆก็เป็นความรักที่มีคุณค่าเหมือนกัน หากไม่มีความรักระหว่างหนุ่มสาว โลกนี้ก็ดูจะเงียบเหงาเกินไป และหากไม่มีการแต่งงาน อีกไม่นานโลกนี้ก็ต้องหมดสิ้นสูญพันธุ์มนุษย์ เพราะจะไม่มีการเกิด ท่านหวังว่าจะหมดกิเลสจึงยอมสละชีวิตทั้งชีวิตเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น ผมก็ขออนุโมทนา
ภิกษุแดงได้โอกาสในขณะที่ภิกษุดำกำลังมีน้ำเสียงอ่อนลง จึงอธิบายต่อไปอีกว่า ความรักตนมีอธิบายไว้ในปิยสูตร สังยุตนิกาย สคาถวรรค (15/334/90) ความว่า “ชนบางพวกย่อมประพฤติทุจริตด้วยกาย วาจา ใจ ชนเหล่านั้นไม่ชื่อว่ารักตน ถึงแม้พวกเขาจะกล่าวอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายมีความรักตน ถึงเช่นนั้นพวกเขาก็ชื่อว่าไม่มีความรักตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไรก็เพราะเหตุว่า ชนผู้ไม่รักใคร่กันย่อมทำความเสียหายให้แก่ผู้ไม่รักใคร่กันได้โดยประการใด พวกเขาเหล่านั้นย่อมทำความเสียหายแก่ตนด้วยตนเองได้โดยประการนั้น พวกเขาเหล่านั้นจึงชื่อว่าไม่รักตน
ส่วนว่าชนบางพวกย่อมประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ พวกเหล่านั้นชื่อว่ารักตน ถึงแม้พวกเขาจะกล่าวอย่างนี้ว่า เราไม่รักตน ถึงเช่นนั้นพวกเหล่านั้นก็ชื่อว่ารักตนข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ก็เพราะเหตุว่าชนผู้ที่รักใคร่กันย่อมทำความดี ความเจริญให้แก่ชนผู้ที่รักใคร่กันได้โดยประการใด พวกเหล่านั้นย่อมทำความดี ความเจริญแก่ตนด้วยตนเองได้โดยประการนั้น ฉะนั้น พวกเหล่านั้นจึงชื่อว่ารักตน
ถ้าบุคคลพึงรู้ว่าตนเป็นที่รัก ไม่พึงประกอบด้วยบาป เพราะว่าความสุขนั้นไม่เป็นผลที่บุคคลผู้ทำชั่วจะพึงได้โดยง่าย”
ท่านพูดได้ยาวเหลือเกิน ความจำท่านดีมาก ขออนุโมทนาให้ท่านมีความมั่นคงในพระพุทธศาสนาสืบต่อไป ส่วนผมยังรักที่จะมีครอบครัว ยังรักที่จะสร้างโลกขอกลับไปสร้างโลกตามจารีตประเพณีที่มีมาแต่โบราณกาล เพราะผมก็ยังกลัวว่าหากไม่มีครอบครัววงศ์สกุลจะขาดสูญกลายเป็นบาปอีกประการหนึ่ง
เนื้อความตอนแรกผมท่องจำได้เพราะเคยเขียนเรียงความกระทู้ธรรม ส่วนเนื้อความอีกตอนหลังผมเขียนบันทึกไว้เพราะเห็นว่าน่าสนใจ พูดจบภิกษุแดงก็หยิบสมุดบันทึกจากกระเป๋าอังสะให้ดู ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมจดบันทึกไว้ บันทึกช่วยให้เกิดความจำ หากเป็นเนื้อความสั้นๆผมก็จะท่องจำไว้ แต่หากยาวก็ต้องจดบันทึก
เด็กชายจิ๋วกับเด็กชายป๋องเด็กวัดกำลังจะไปโรงเรียนแต่งชุดนักเรียนพร้อมแล้ว ยืนฟังคำสนทนาของหลวงพี่ทั้งสองมานาน มองเห็นแววแห่งความไม่สงบเกิดขึ้น เด็กชายจิ๋วที่ฉลาดเกินวัยจึงบอกว่า “หลวงพี่ครับ สมมุติว่าเด็กชายป๋องเป็นแม่ของหลวงพี่ทั้งสองรูปนะครับ ผมไม่กล้าสมมุติเป็นพ่อ หลวงพี่ทั้งสองลองสมมุติตามนะครับ จากนั้นเด็กชายจิ๋วจึงคีบถ่ายไฟมาสามอันวางเรียงรายกันไว้ “สมมุติว่าผมนำถ่านไฟวางไว้บนฝ่ามือของหลวงพี่ทั้งสองรูปและแม่ของท่าน ท่านจะทำอย่างไร” เด็กชายจิ๋วแสดงทีเหมือนกำลังจะวางถ่านไฟไว้บนมือของภิกษุแดง ท่านรีบถอยหนีทันที
ภิกษุทั้งสองรูปตอบเกือบจะเป็นเสียงเดียวกันว่า “อ้าวก็ต้องสลัดถ่านไฟในมือตัวเองทิ้งสิ จะโง่ถือให้มันร้อนทำไม”
เด็กชายจิ๋วจึงบอกว่า “แล้วทำไมไม่ช่วยนำถ่านไฟออกจากมือแม่ก่อนครับ”
ภิกษุหนุ่มสองรูปได้แต่มองหน้ากันพูดอะไรไม่ออก เด็กจิ๋วและเด็กชายป๋องรีบถือกระเป๋าวิ่งไปทางหน้าวัดมุ่งหน้าสู่โรงเรียน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
13/02/55