เสียงสวดมนต์บนเวทีการประชุมที่ตั้งอยู่หลังปรางค์นครวัดในเวลาเที่ยงวัน โดยมีนักบวชในพระพุทธศาสนาจากแทบทุกนิกาย มีทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาจากผู้เข้าร่วมประชุม แดดร้อนขึ้นเรื่อยๆ หลายคนหลบแดดแต่หลายคนยังคงปักหลักสวดมนต์กลางเปลวแดดที่กำลังร้อนระอุเหมือนกำลังจะทดลองพลังแห่งความอดทน เสียงสวดมนต์ดังขึ้นเรื่อยๆ บางสูตรสวดได้เฉพาะบางนิกายบางครั้งมีเสียงดนตรีประกอบไปด้วย ผู้ที่สวดไม่ได้ก็นิ่งทำสมาธิไป แต่มีบางสูตรที่สวดร่วมกันได้เสียงจึงดังเป็นพิเศษเหมือนกับกำลังประกาศให้โลกเห็นถึงพลังแห่งสันติภาพที่แม้แต่แสงแดดจะร้อนสักปานใดก็ไม่อาจจะกีดกันพลังแห่งสันติสุขได้
การอยู่ในที่ประชุมที่พูดกันหลายภาษาอาจจะเป็นความกังวลในช่วงแรกๆเพราะยังไม่คุ้นกับสำเนียงภาษาของแต่ละคน แต่พอเวลาผ่านไปสักพักทุกคนก็ก้าวพ้นขีดขั้นของภาษาไปได้ เพราะทุกคนรับรู้ได้ถึงจุดหมายของการประชุมซึ่งเพื่อหาความร่วมมือกันในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาโดยไม่แยกนิกาย ไม่แยกว่าจะเป็นภิกษุหรือภิกษุณีอุบาสกหรืออุบาสิกา ทุกคนแสวงหาจุดร่วมโดยมองข้ามความแตกต่างของเครื่องแต่งกายภายนอกไป มองเข้าไปข้างในนั่นคือจิตใจที่มุ่งสู่สันติสุขและความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ในช่วงสุดท้ายมีบันทึกข้อตกลงร่วมกัน มีการจัดตั้งสมาคมแห่งความร่วมมือทางศาสนาขึ้นด้วย
ผู้เขียนนอกจากจะสนใจถ่ายภาพ จนผู้เข้าร่วมประชุมขนานนามว่า “หลวงพี่ช่างภาพ” บ้าง “หลวงพี่นักข่าว” เพราะมีกล้องในมือพร้อมจะยกขึ้นกดชัตเตอร์ได้ทุกเวลาตลอดการประชุม นอกจากนั้นยังพยายามพูดคุยสนทนากับหลวงจีน ลามะจากประเทศต่างๆ และยังสนใจพูดคุยกับเหล่าบรรดาภิกษุณีที่มากันหลายรูปจากประเทศต่างๆ มีภิกษุณีสองรูปจากประเทศอินโดนีเซียแต่งกายทุกอย่างเหมือนภิกษุ สวดมนต์นั่งประชุมร่วมกับภิกษุแทรกตัวอยู่กลางเหล่าหลวงจีนหนวดงามและลามะจากมองโกเลีย ทิเบต เมื่อเข้าไปสนทนาจึงได้ทราบจากปากของภิกษุณีสองรูปว่า “อาตมาเป็นภิกษุณีในนิกายเถรวาทอุปสมบทจากไต้หวัน แต่ไปจำพรรษาที่ประเทศอินโดนีเซีย ที่นั่นแม้จะยังไม่ยอมรับสถานภาพของภิกษุณีเต็มรูปแบบแต่ก็ไม่ได้กีดกัน พระพุทธเจ้าฝากพระพุทธศาสนาไว้กับบริษัทสี่คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทุกคนจึงมีสิทธิเท่าเทียมกันในการปฏิบัติตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เมื่อถามว่าที่ประเทศอินโดนีเชียมีภิกษุณีกี่รูป ภิกษุณีสองรูปนั้นก็ตอบไม่ได้ว่ามีจำนวนเท่าใด แต่บอกว่าจะพยายามขยายวงของนักบวชหญิงให้โลกรู้จักมากขึ้น”
ภิกษุุณีจากอินโดนีเชีย
ภิกษุณีจากเวียดนามแวะเข้ามาร่วมวงสนทนาด้วย แต่สิ่งที่เธอถามคือภาพถ่ายเธอบอกว่า “ที่เวียดนามมีทั้งพระพุทธศาสนามหายานและเถรวาท จะเรียกว่าอะไรก็ตาม แต่คนทั่วไปเข้าใจว่านี่คือภิกษุณี ส่วนนักบวชหญิงจากจีนท่าที่สงบเสงี่ยมเธอได้แต่ยิ้มเพราะพูดได้ภาษาเดียว แต่จับประเด็นความต้องการได้ว่าอยากได้ภาพถ่ายที่ผู้เขียนถ่ายไว้ บอกให้ส่งไปให้จากนั้นก็มอบนามบัตรและอีเมล์ให้ แปลความได้สั้นๆว่ากรุณาส่งภาพไปให้ด้วย” ผู้เขียนจึงมีเพื่อนทั้งภิกษุภิกษุณีจากเวียดนามหลายรูป ภาษาในการสื่อสารก็ไม่ต้องคิดมากสื่อสารเข้าใจกันได้ แม้จะพูดกันคนละภาษา ที่เข้าใจยากที่สุดกลับเป็นภาษาเกาหลีและจีนฟังไม่ออกจริงๆ
ไทย จีน เกาหลี
ในขณะที่กำลังถ่ายภาพการรับมอบของที่ระลึกซึ่งไม่รู้ว่าใครมอบให้ใครแลกกันไปแลกกันมา แต่พยายามถ่ายไว้ทุกภาพไม่ขาดตกบกพร่อง ใครก็ตามที่ผ่านเข้ามาในวิถีกล้องจะถือวิสาสะถ่ายภาพไว้ทั้งหมดเพราะรู้สึกเพลินดี ส่วนจะถ่ายไว้ไปทำอะไรตอนนั้นยังไม่ได้คิด ช่างภาพหลายท่านเลือกถ่ายเฉพาะผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตน แต่ผู้เขียนถ่ายทุกคนที่ผ่านเข้ามา ขณะที่กำลังถ่ายภาพอยู่นั้นพระเกาหลีรูปหนึ่งเดินเบียดเสียดแทรกเข้ามากลางวง ส่งภาษาเกาหลีที่ฟังไม่รู้เรื่องตอนนั้นนึกว่าคงมีข่าวใหญ่เกิดขึ้นที่เกาหลี แต่จากภาษามือแปลความได้ว่าส่งภาพให้ผมด้วย พร้อมทั้งส่งนามบัตรให้ เมื่อพลิกดูก็ได้แต่ส่ายหน้ามีแต่ภาษาเกาหลีอ่านไม่ออก ตอนนั้นคิดอยากเรียนภาษาเกาหลีขึ้นมาทันใด
ลามะจากมองโกเลีย
ความคิดต้องสะดุดเพราะหลวงจีนหนวดงามจับแขนยื่นนามบัตรให้อีกคนพลางส่งสำเนียงภาษาจีนที่ฟังไม่ออกอีกตามเคยแต่แปลความได้ว่า “ส่งภาพให้ผมด้วย” ก็ต้องจนด้วยเกล้าอีกครั้งเพราะมีแต่ภาษาจีน ยังมีลามะจากมองโกเลียแทรกเข้ามาอีกรูป ท่านนี้ส่งสำเนียงภาษาอังกฤษพอฟังออกว่าอย่าลืมส่งภาพให้ผม ขณะนั้นใกล้เวลาปิดการประชุมแล้วบนเวทีกำลังมีการสวดมนต์เพื่อสันติภาพของโลกโดยหลวงจีน พระสงฆ์ ลามะ ภิกษุณีทุกนิกายจากประเทศที่เข้าร่วมประชุม สวดมนต์ร่วมกันอย่างมีพลัง จำได้ว่าสวดบทพาหุงและชยันโตทุกนิกายสวดได้เหมือนกัน แดดยังร้อนอยู่เหลือบไปเห็นนักบวชหญิงรูปหนึ่งหลบแดดอยู่ริมขอบเวทีแต่เธอก็สวดมนต์ด้วยท่าที่ที่สงบนิ่ง จึงยกกล้องขึ้นจับภาพอันงดงามไว้ได้ ทราบภายหลังว่าเธอมาจากเมืองกวางโจว จีนแผ่นดินใหญ่ ดูภาพเธอแล้วต้องบอกว่าเธอสงบนิ่งจริงๆ
จีน
ที่ยอดเยี่ยมจริงๆต้องยกให้หลวงพี่จากเวียดนามไม่พูดพร่ำทำเพลงขอยืมเมโมรีการ์ดจากกล้องดื้อๆ จากนั้นก็โอนข้อมูลภาพถ่ายลงโน็ตบุ๊คน่าตาเฉย ส่วนเจ้าของกล้องได้แต่มองทำตาปริบๆ ในขณะที่รอหลวงพี่โอนข้อมูลก็ต้องใช้การ์ดสำรองไปพลางๆ โชคดีที่ยังมีสำรอง มีกี่อันหลวงพี่ก๊อบปี้ข้อมูลไปทั้งหมด ดังนั้นภาพถ่ายในงานการประชุมศาสนาและวัฒนธรรมที่กัมพูชาจึงมีหลายชุด อย่างน้อยๆก็ไปที่เวียดนามหนึ่งชุด หลวงพี่ไม่ได้ก็อบปี้รูปเดียวยังอุตส่าห์ใจดีแจกคนอื่นๆอีกด้วย อย่างนี้สะดวกและง่ายกว่าส่งทางอีเมล์ เพราะไม่รู้จะว่างส่งให้เมื่อใด ผู้ถ่ายเองก็ไม่ได้หวงไว้คนเดียวถ่ายภาพเสร็จใครอยากได้เอาไปได้เลย
เมื่อนักบวชในพระพุทธศาสนามาพบกันในดินแดนที่ศาสนาฮินดูเคยรุ่งเรืองมาก่อนคือปราสาทนครวัด แห่งกัมพูชา ภาษาที่ใช้สื่อสารกันแม้จะเป็นภาษาอังกฤษ แต่ที่ได้ฟังมากที่สุดคือภาษาจีน เจ้าของประเทศคือกัมพูชามีแทรกบ้าง ในอนาคตนักบวชคงต้องเรียนรู้อย่างน้อยสี่ภาษาคือภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ภาษาบาลีสันสกฤตและภาษาเทคโนโลยี จึงจะสามารถสื่อสารกับนักบวชอื่นๆรู้เรื่อง อย่างน้อยก็สามารถส่งสารทางอีเมล์ถึงกันได้
เวียดนาม
กลับมาถึงวัดเปิดภาพดูเห็นมีภิกษุณีหลายรูป ฟังจากคำสนทนาส่วนมากจะอุปสมบทมาจากไต้หวัน ทำให้เกิดความสงสัยว่าสถานภาพของนักบวชในไต้หวันเป็นอย่างไรกันแน่ จะมีภิกษุณีหรือนักบวชหญิงมากมายจริงหรือ อยากไปดูให้เห็นกับตาสักครั้ง ช่วงนี้มีการประชุมพระธรรมทูตไทยในประเทศฮ่องกง ไต้หวัน จัดขึ้นประมาณปลายปีที่ไต้หวัน สำนักงานเลขานุการสำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธรรมยุต) มีชื่อของผู้เขียนเข้าร่วมประชุมด้วย และได้ฤกษ์ออกเดินทางในเช้าวันที่ 22 ธันวาคม 2554 ได้เวลาออกเดินทางอีกแล้ว ช่วงนี้มีงานเข้าจึงยังไม่มีเวลาส่งภาพถ่ายให้ใคร ขออนุญาตนำเผยแผ่ทางเว็บไซต์ดูกันไปพลางๆก่อนก็แล้วกัน
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
22/12/54