ชายชราคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนคนบ้า จะเป็นภิกษุก็ไม่ใช่ไว้ผมยาว แต่อยู่ในเครื่องทรงของนักบวช นั่งนับลูกประคำบริกรรมคาถาหน้าองค์พระเจดีย์ ไม่มีใครรู้ว่าแกกำลังบริกรรมอะไรอยู่ นานๆครั้งจะแหงนหน้ามองไปยังพระธาตุอินแขวน ที่ยอดเจดีย์สะท้อนแสงไฟส่งประกายสีทองอร่ามประหนึ่งยอดเจดีย์จุฬามณีบนสรวงสวรรค์
เมื่อได้สนทนากันกันจึงรู้ว่าเป็นคนไทย การพูดคุยผ่านไปชั่วครู่ถึงรู้ว่าแกไม่ได้บ้ายังคงมีสติสมบูรณ์พูดคุยรู้เรื่อง “เรียกผมว่าฤาษีก็แล้วกันเขาเริ่มต้นแนะนำตัว ผมเคยเป็นบวชเป็นพระ ต่อมาได้ลาสิกขามารับราชการเป็นครูสอนหนังสือเด็กๆจนจบไปหลายรุ่นแล้ว อยู่มาวันหนึ่งภรรยาผมเสียชีวิต เธอทิ้งลูกชายอายุเพียงสามขวบไว้ให้ผมคนหนึ่ง ทั้งที่ๆเคยบวชเรียนมาก่อนแต่ก็ยังทำใจได้ยาก เราอยู่กินกันร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานาน พอเธอจากไปผมรู้สึกเหมือนกับว่าความทุกข์โศกทั้งโลกมารวมที่ผมคนเดียว”
เขาสนทนาต่อด้วยดวงตาเป็นประกายแจ่มใสเหมือนได้พบญาติสนิท "ผมบวชอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้บวชหน้าไฟบวชให้ภรรยา แต่เพราะมีภาระในการเลี้ยงดูบุตรชายจึงต้องลาสิกขาอีกครั้งกลับไปทำหน้าที่เลี้ยงดูลูกชายคนเดียว ผมยังทำหน้าที่เป็นครูสอนหนังสืออีกหลายปี จนกระทั่งลูกชายเรียนจบปริญญาตรีมีงานทำและแต่งงานเรียบแล้ว ผมจึงลาออกจากการเป็นครู ตั้งความหวังว่าจะบวชอีกครั้ง แต่ความเชื่อของคนโบราณที่บอกว่า “หญิงสามผัว เจ้าหัวสามโบสถ์ คบไม่ได้” ผมจึงไม่ได้บวช แต่ได้เดินทางจาริกไปปฏิบัติธรรมยังวัดต่างๆ หลายปี ผมปฏิบัติธรรมตามความเข้าใจและการตีความของผมเอง การปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องบวช เพราะพระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่าพระพุทธศาสนาจะอยู่ได้นานหรือไม่ ขึ้นอยู่กับบริษัททั้งสี่คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ผมท่องเที่ยวในเมืองไทยหลายปีแต่ไม่ได้รับการยอมรับ ทุกคนหาว่าผมบ้า วันหนึ่งจึงได้เดินทางมาที่เจดีย์ชเวดากอง เมียนมาร์ จากนั้นได้เดินทางท่องเที่ยวไปอีกหลายเมือง คนที่นี่ไม่ค่อยสนใจถามไถ่ที่มาที่ไปของใครมากนัก ปัจจุบันผมจึงทำตัวเหมือนฤาษีตนหนึ่ง ยามหิวก็ขออาหารชาวบ้านพอประทังชีวิต ที่พักนอนก็เป็นวัด วิหาร เจดีย์ต่างๆ สลับผลัดเปลี่ยนกันไป แต่ที่เจดีย์พระธาตุอินแขวนนี่ผมอยู่นานหน่อย ที่นี่ยังมีฤาษีทั้งชายและหญิงจำนวนหนึ่ง คนพวกนี้ถือพรหมจรรย์เหมือนพระภิกษุ แต่ไม่ได้บวช ชีวิตผมมีความสุขกับการปฏิบัติธรรม แม้ว่าคนทั้งหลายจะมองว่าผมบ้าก็ตาม ปัจจุบันผมได้กลายเป็นฤาษีและพลเมืองเมียนมาร์ไปนานแล้ว ในอนาคตหากยังพอมีแรงผมยังมีความคิดจะเดินทางไปให้ถึงอินเดียแดนพุทธภูมิ
ชีวิตผมพอแล้วถือว่าเกิดมาชาติหนึ่งได้ทำหน้าที่ของมนุษย์ทั้งเคยบวช เคยเป็นครูสอนคนให้เป็นคนดีมาเป็นจำนวนมากแล้ว ชีวิตที่เหลือจึงอุทิศให้กับตัวเอง ผมไม่ได้มองว่าตัวเองมีค่าอะไร ชีวิตใหม่ผมยังไม่ได้เริ่มต้น ผมคิดในใจเสมอว่า ชีวิตจะเริ่มใหม่ในวันพรุ่งนี้ คิดอย่างนี้ทำให้ผมสบายใจ วันนี้ผมทำหน้าที่สวดมนตร์ เจริญภาวนา วันหน้าจะต้องมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าวันนี้
จบการสนทนาในวันนั้นได้ปรัชญาชีวิตจากคนที่หลายคนคิดว่าบ้า แต่คนเรามองเพียงภายนอกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมองภายในด้วย รูปลักษณ์ภายนอกอาจหลอกเราได้ง่าย มีคนเคยบอกว่าคนเรามีสามหน้าคือหน้านอก หน้าในและหน้าที่ มีคำอธิบายสั้นๆว่า “หน้านอกบอกความงาม หน้าในบอกความดี หน้าที่บอกความสามารถ” คติธรรมมาได้จากทุกที่แม้แต่คนที่คิดว่าบ้าก็อาจมีปรัชญาที่น่าคิด เสียดายที่เขาไม่ได้บอกชื่อและไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพ ด้วยคำตอบสั้นๆว่า "ไม่อยากให้คนที่เคยรู้จักจำหน้าได้ ขอใช้เวลาช่วงสุดท้ายอย่างสันติ "จึงไม่มีภาพชายชราผู้มีปรัชญาพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ จึงมีแต่ภาพของผู้สัมภาษณ์แทน
หลายคนอาจกำลังมีปัญหาชีวิตคิดไม่ตก บางครั้งอาจขาดสติคิดฆ่าตัวตาย เป็นการทำลายโอกาสในการทำความดี หากกำลังทุกข์ลองนึกถึงปรัชญาชีวิตของชายชราคนนั้นที่ถือคติว่า “ชีวิตจะเริ่มใหม่ในวันพรุ่งนี้”วันนี้ทุกข์ไม่เป็นไร แต่วันพรุ่งนี้ยังมีเวลาให้ชีวิตเริ่มต้นใหม่ได้ ความผิดเป็นครู การศึกษาเรียนรู้คือการดำเนินชีวิตประการหนึ่ง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
11/03/53