วันศุกร์ทำงานที่วัดบวรนิเวศวิหารจนค่ำ พอจะกลับวัดเห็นรถติดจึงนั่งรถจากวัดบวรนิเวศวิหารมาขึ้นเรือข้ามฟากที่ท่าพระจันทร์ และตั้งใจว่าจะนั่งเรือกลับวัด เดินผ่านหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เห็นผู้คนพลุกพล่าน นักดนตรีตาบอดที่เคยเปิดวงร้องเพลงโดยใช้กีต้าร์และบรรเลงเพลงคนเดียวตามคำขอเพื่อแลกกับเงินที่มีผู้หยิบยื่นให้ แต่วันนี้เขาเปลี่ยนเครื่องดนตรีเป็นเสียงแซกโซโฟนที่ให้เสียงเศร้าสร้อยอย่างประหลาด เสียงเพลงน้ำท่วมที่มาจกนักดนตรีคนนั้นฟังแล้วรู้สึกได้ถึงการสูญเสียอันเกิดจากภัยน้ำท่วม แม้จะอยู่ในยามวิกฤตเช่นนี้ นักดนตรีคนนั้นก็ยังไม่หยุดงาน
กระแสน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาทะลักเข้ามาในร้านค้าต่างๆ บางร้านต้องปิดตัวลง แต่บางร้านยังคงขายตามปรกติ เจ้าของแผงหนังสือเอ่ยทักว่ามติชนสุดสัปดาห์ออกแล้วจะรับไหม จึงหยิบมาเล่มหนึ่งพร้อมกับหนังสืออื่นๆอีกหลายเล่ม คนขายเดินลุยน้ำที่ขึ้นสูงถึงเข่า เขาขายไปบ่นไปแต่ยังมีรอยยิ้ม ก่อนจะหยิบหนังสือใส่ถุงยื่นให้ ร้านอีกหลายร้านกำลังเก็บสินค้าเพื่อหนีน้ำ บางร้านปิดร้านปล่อยให้น้ำเข้าแทนที่สิ่งที่จะต้องขาย คนหาเช้ากินค่ำเมื่อเย็นนี้ไม่มีอะไรจะขายแล้วพรุ่งนี้เช้าจะเอาอะไรกิน
เรือข้ามฟากจากท่าพระจันทร์ไปยังฝั่งศิริราช ขณะที่เรือกำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆมองไปยังวัดระฆังโฆสิตารามเห็นหลังคาพระอุโบสถงดงามอร่ามเรือด้วยแสงไฟ ถัดไปมองเห็นเจดีย์วัดอรุณราชวรารามสะท้อนกับแสงไฟงามระยับจับตาเป็นอย่างยิ่ง หากเป็นยามธรรมดาไม่ใช่ในเวลาที่แทบทุกภูมิภาคกำลังประสบกับภัยน้ำท่วมแบบนี้ ความมะเมืองมลังการนี้คงงดงามยากที่จะหาคำพรรณาได้ แต่ในช่วงเวลานี้กลับรู้สึกว่าแม้น้ำเจ้าพระยามีน้ำมากเกินไป
น้ำในช่วงเย็นวันนั้นกำลังไหลลงทางใต้ ผักตบชวา เศษไม้ใบหญ้าลอยมากับกระแสน้ำหลาก ถึงฝั่งศิริราชก้ต้องค่อยๆเดินบนกระสอบทรายและสะพานไม้ที่นำมาวางเพื่อให้การสัญจรไปมาได้สะดวก ยืนรอเรือด่วนเจ้าพระยาที่ท่านพรานนก วันนั้นเรือโดยสารไม่ค่อยมีคนมากนัก ด้านท้ายเรือจึงมีเพียงพระสงฆ์รูปเดียวยืนดูกระแสน้ำหลากสองฟากฝั่งเจ้าพระยา ตามริมฝั่งจะมีเขื่อนคอยกันน้ำไม่ให้ไหลบ่าเข้าท่วมบ้านเรือนริมน้ำ ระดับน้ำเกือบจะล้นฝั่งอยู่แล้ว หากน้ำเหนือยังไม่ยอมลดโอกาสที่กรุงเทพมหานครจะจมอยู่ใต้น้ำเป็นไปได้สูงอย่างยิ่ง ในยามนี้ผู้คนคงหวาดผวากันเป็นแถว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่น้ำจะท่วม
ผู้คนที่ประสบกับน้ำท่วมจะทำอย่างไร คงลำบากมากดูจากข่าวโทรทัศน์แล้วประชาชนจำนวนมากที่ประสบภัยไม่เว้นแม้แต่พระสงฆ์อีกหลายหมื่นรูป นี่ก็ใกล้วันออกพรรษาแล้วจะตักบาตรเทโวโรหณะกันอย่างไร ตอนนี้ต้องคิดถึงการมีชีวิตรอดก่อน ส่วนประเพณีค่อยอนุโลมตามที่ควรจะเป็น คนที่กำลังลอยคออยู่กลางกระแสน้ำนั้นต้องประสบกับความลำบาก บัดดลนั้นในใจพลันคิดถึงเรืองมหาชนกขึ้นมา
พระมหาชนกเมื่อครั้งที่เรือแตกกลางทะเลมองไม่เห็นฝั่ง แต่พระมหาบุรุษยังคงว่ายน้ำต่อไป จนกระทั่งนางมณีเมขลาปรากฎกายดังที่ปรากฎในมหาชนกชาดก ขุททกนิกาย (28/442-448/112) ถามว่า “ใครนี่ เมื่อมองไม่เห็นฝั่งก็ยังกระทำความเพียรว่ายอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ท่านรู้อำนาจประโยชน์อะไร จึงพยายามว่ายอยู่อย่างนี้นัก”
พระมหาชนกตอบว่า “ดูกรเทวดา เราพิจารณาเห็นวัตรของโลกและอานิสงส์แห่งความพยายาม เพราะฉะนั้นถึงจะไม่เห็นฝั่งเราก็ต้องพยายามว่ายอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร”
นางมณีเมขลาถามต่อไปว่า “ฝั่งมหาสมุทรอันลึกประมาณไม่ได้ ย่อมไม่ปรากฏ ความพยายามอย่างลูกผู้ชายของท่านย่อมเปล่าประโยชน์ ท่านยังไม่ทันจะถึงฝั่งก็จักต้องตายเป็นแน่”
พระมหาชนกตอบว่า “บุคคลผู้กระทำความเพียรอยู่ แม้จะตาย ก็ชื่อว่าไม่เป็นหนี้คือไม่ถูกติเตียนในระหว่างหมู่ญาติเทวดาและพรหมทั้งหลาย อนึ่ง บุคคลเมื่อกระทำกิจของบุรุษอยู่ ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง"
นางมณีเมขลา “การงานอันใดยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายาม การงานอันนั้นก็ไร้ผล มีความลำบากเกิดขึ้น ความปรากฏแก่บุคคลผู้กระทำความพยายามในอันมิใช่ฐานะใด จะมีประโยชน์อะไรด้วยความพยายามในอันมิใช่ฐานะนั้น"
พระมหาชนก “ดูกรเทวดา ผู้ใดรู้แจ้งว่า การงานนี้ยังไม่ถึงที่สุดด้วยความพยายามแล้วไม่ป้องกันอันตราย ชื่อว่าไม่พึงรักษาชีวิตของตน ถ้าผู้นั้นพึงละความเพียรในฐานะเช่นนั้นเสีย ก็จะพึงรู้ผลแห่งความเกียจคร้านนั้น ดูกรเทวดา คนบางพวกในโลกนี้ เห็นอยู่ซึ่งผลแห่งความประสงค์ จึงประกอบการงานทั้งหลาย การงานเหล่านั้นจะสำเร็จก็ตาม ไม่สำเร็จก็ตาม ดูกรเทวดาท่านย่อมเห็นผลแห่งการงานอันประจักษ์แก่ตนแล้วมิใช่หรือ คนอื่นๆ พากันจมลงในมหาสมุทร เราคนเดียวเท่านั้นพยายามว่ายข้ามอยู่และได้เห็นท่านมาสถิตอยู่ใกล้เรา เรานั้นจักพยายามตามสติกำลังจักทำความเพียรที่บุรุษพึงกระทำ ไปให้ถึงฝั่งแห่งมหาสมุทร”
นางมณีเมขลา “ท่านใดถึงพร้อมด้วยความพยายามโดยธรรม ไม่จมลงในห้วงมหรรณพทั้งลึก ทั้งกว้างเห็นปานนี้ ด้วยการกระทำความเพียรของบุรุษ ท่านนั้นจงไปในสถานที่ซึ่งใจของท่านยินดีเถิด”
นี่คือข้อความคำสนทนาตอนหนึ่งระหว่างนางมณีเมขลาเทพธิดากับพระมหาชนกผู้บำเพ็ญวิริยบารมี แม้จะอยู่กลางทะเลลึกมองไม่เห็นฝั่งก็ยังไม่ยอมลดละความเพียรพยายามว่ายน้ำต่อไป ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งคงถึงฝั่งได้
แม่น้ำเจ้าพระยายังคงเอื่อยไหลเหมือนใจที่กำลังสิ้นแรงของหมู่คนผู้ประสบอุทกภัย นานๆจะมีเรือโยงผ่านมาสักลำ เรือลากสินค้าก็มีให้เห็นเพียงไม่กี่ลำ ส่วนคนหาปลายังคงทำหน้าที่นั่งเรือลำน้อยอยู่กลางกระแสน้ำ ชาวประมงเหล่านี้ไม่กลัวน้ำ เพราะสิ่งที่อยู่ใต้น้ำคือสิ่งที่ต่อชีวิตของพวกเขา หากชาวประมงหาปลาไม่ได้นั่นจึงจะกลายเป็นความวิบัติ ปรกติแม้ภาพคนหาปลาก็เป็นความงามที่ประดับแม่น้ำอย่างหนึ่ง แต่วันนั้นเหมือนกำลังเห็นคนหาปลาคนนั้นกำลังหลั่งน้ำตา หรือว่าน้ำตามันมาจากนัยน์ตาของเราเอง
นั่งเรือด่วนดูกระแสน้ำหลากเพลินๆจนเรือผ่านท่าพระรามเจ็ดซึ่งปรกติจะต้องลงขึ้นรถไปอีกหน่อยก็จะถึงวัด แต่เมื่อมองไปยังสะพานพระรามเจ็ดเห็นรถราแน่นขนัด คงหารถกลับวัดลำบาก จึงตัดสินใจนั่งเรือต่อไปจนถึงท่าน้ำนนทบุรี คงจะหารถกลับวัดได้ง่ายกว่า กระแสน้ำไหลแรงขึ้นเรื่อยๆ เรือด่วนจึงค่อยๆวิ่งทวนกระแสน้ำ กว่าจะถึงเมืองนนทบุรีเวลาก็เกือบหนึ่งทุ่มและกว่าจะหารถกลับวัดได้เวลาก็ล่วงเลยไปจนเลยสองทุ่มไปแล้ว วันนั้นรถโดยสารหายากจริงๆ
แม่น้ำเจ้าพระยามนี้กำลังจะล้นฝั่ง ผู้คนสองฟากฝั่งบางคนทิ้งบ้านเรือนหนีไปอาศัยที่อื่นแล้ว ในช่วงออกพรรษาของแต่ละปี แม่น้ำเจ้าพระยามักจะถูกประดับประดาด้วยแสงไฟเรื่อยไปจนถึงวันลอยกระทง ความงามแห่งสายน้ำเจ้าพระยาเหมาะกับการนั่งเรือชมทิวทัศน์และความอลังการแห่งแสงไฟที่ประดับสองฟากฝั่ง เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำหลาก คนหมู่มากเพลิดเพลินกับความชุ่มฉ่ำเย็นของสายน้ำ แต่ในช่วงออกพรรษาปีนี้ แม่น้ำเจ้าพระยามีน้ำมากเกินกว่าจะนั่งเรือชมวิว
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
10/10/54