แม้จะยังไม่ถึงวันแม่แต่ใกล้เข้ามาแล้ว แต่ทำไมวันนี้เกิดคิดถึงแม่ขึ้นมาก็ไม่รู้ ตั้งใจว่าจะโทรศัพท์ถามข่าวแม่ว่ายังสบายดีอยู่ไหม มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยก็ต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ ปีนี้ยังไม่ได้พบหน้าแม่เลย หาเวลากลับไปเยี่ยมแม่ที่ชนบทไม่ค่อยได้ ดูเหมือนจะมีภารกิจที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นงานที่ต้องทำทั้งงานของวัดที่จะต้องรับหน้าที่สอนพระบวชใหม่ตลอดพรรษา และสอนภาษาบาลีแก่สามเณรที่กำลังเตรียมตัวเข้าสอบบาลีในปีหน้า วางแผนเรียนกันตลอดปี ไม่นับงานส่วนตัวอีกหลายอย่างทั้งที่เป็นงานที่จะต้องทำหรือเป็นงานที่อยากทำ
วันพฤหัสบดีนั่งประชุมวางแผนเกี่ยวกับการจัดงานประชุมพระธรรมทูตต่างประเทศหลายชั่วโมง หาโอกาสโทรศัพท์คุยกับแม่ไม่ได้ กว่าจะกลับเข้าห้องก็ดึกแล้ว แต่ความคิดถึงแม่ยังมีอยู่ ตามธรรมดาเวลาใดก็ตามที่ประสบทุกข์คนแรกที่จะคิดถึงคือแม่ ส่วนพ่อนั้นไม่อยู่แล้ว แม้จะคิดถึงก็คงทำอะไรไม่ได้ นั่งอ่านหนังสือเพลินๆกลับหวนระลึกนึกถึงวัยเด็กที่ก่อนนอนมักจะได้ฟังนิทานจากแม่แทบทุกวัน บางวันเผลอนอนหลับทั้งๆที่ยังยิ้มเพราะนิทานที่แม่เล่า
แม่เป็นคนบ้านนอกขนานแท้ เรียนจบเพียงชั้นประถมปีที่สี่ ไม่เคยเดินทางไกลข้ามจังหวัด อย่างมากก็จะเข้าไปยังตัวอำเภอหาซื้อของใช้ที่จำเป็นต่างๆ ส่วนอาหารการกินคนบ้านนอกไม่ต้องซื้อ ผักผลไม้ก็เก็บจากสวนข้างบ้าน เพราะบริเวณรอบๆตัวบ้านจะปลูกผลไม้ไว้หลายอย่างเช่นมะพร้าว ตาล มะละกอ ฝรั่ง มังคุด หรือผลไม้อื่นๆ คนบ้านนอกหากินไม่ลำบาก ไม่มีตลาดสด ในหมู่บ้านมีเพียงร้านของของชำร้านเดียว ขายทุกอย่างเท่าที่จะหามาได้ ส่วนพวกปลานั้นหาได้จากบึงหรือลำธารที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก
บางวันอยากกินต้มยำปลาช่อนก็เพียงก่อไฟตั้งหม้อน้ำไว้ ฝากแม่คอยสุมไฟให้เตาร้อน จากนั้นก็ถือแหอวนลงจากเรือนไปยังหนองน้ำสาธารณะริมหมู่บ้าน ทอดแหลงไปทีเดียว เหน็บลูกเหล็กที่เรียกว่าเพลาให้แน่น ค่อยๆดึงผักตบชวาออก เพียงแค่นี้ก็จะได้ปลา บางทีอาจจะได้เจ้าช่อนตัวโต เดินผิวปากครวญเพลงตอนนั้นเพลงแสงสุรีย์ รุ่งโรจน์ กำลังดัง แต่ที่จำได้คือ เพลงที่ร้องว่า “น้องใส่เสื้อลาย ไฉไลจริงหนอโฉมยง จมูกน้องนางก็โด่งเขียวโค้งเป็นวงรูปเคียว.......หรือเพลงของพุ่มพวง ดวงจันทร์ที่ร้องว่า “มองลิบลิ่วแถวทิวพนา เย็นย่ำค่ำสนธยาหมู่นกกาต่างบินกลับรัง.... ประมาณนั้น กลับถึงบ้านน้ำเดือดพอดี เพียงแค่นี้ก็ได้อาหารกลางวันอันแสนอร่อยผ่านไปอีกหนึ่งมื้อแล้ว
ตอนเย็นหลังอาหารพ่อมักจะนั่งสูบยาใบตองและทำงานเช่นสานตระกร้า ฟั่นเชือก ส่วนแม่ก็จะนั่งปั่นฝ้ายไปเล่านิทานไป พวกเด็กๆก็จะนั่งล้อมวงดึงดอกฝ้ายบ้าง ช่วยแม่ทำงานบ้างตามประสา ซึ่งส่วนมากจะช่วยทำให้ยุ่งมากกว่าจะช่วยจริงๆ พวกเราอยากให้แม่เสร็จงานเร็วๆจะได้ฟังนิทาน
มีนิทานเรื่องหนึ่งที่แม่เล่าให้ฟังตอนนั้นจำได้ว่า “วันหนึ่งเกิดฝนตกหนัก จนดินกลายเป็นโคลน มีกบสองตัวออกหากินและกระโดดเล่นน้ำกลางสายฝน บังเอิญพลัดตกลงไปในโคลน กบทั้งสองตัวต่างก็พยายามกระโดดเพื่อที่จะให้พ้นจากโคลนนั้น จนกระทั่งเหนื่อยอ่อนหมดแรงไปทั้งคู่ กบตัวแรกคิดว่าวันนี้คงถึงวันสุดท้ายของชีวิตแล้ว แม้จะกระโดดอย่างไรก็คงเสียแรงเปล่า สู้ยอมรับความจริงดีกว่า จึงเลิกกระโดดในที่สุดก็จมหายไปในโคลนนั้น
ส่วนกบตัวที่สองแม้จะเหนื่อยแต่ก็ไม่ยอมแพ้คิดว่าถึงจะหนีความตายไปไม่พ้น แต่ก็ขอสู้จนวินาทีสุดท้าย เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงกระโดดต่อไป ใช้เท้าหลังถีบโคลนไปเรื่อยๆบางครั้งเหมือนจะพ้นแต่ไม่พ้น แต่ก็ยังคงกระโดดต่อไป พอเหนื่อยก็หยุดนิดหนึ่งและตั้งหน้ากระโดดต่อไป โคลนค่อยๆข้นขึ้น เพราะฝนหยุดตกแล้ว กบตัวนั้นกระโดดไม่หยุด
พอจะจบแม่ก็มักจะกระแอมเหมือนมีอะไรติดคอ คล้ายๆจะดูว่ามีใครกำลังฟังอยู่หรือไม่ ลูกแม่ทุกคนยังไม่ยอมหลับ ก็มักจะถามต่อไปว่า “กบตัวนั้นตายไหมแม่” แม่ก็จะยิ้มอย่างอารมณ์ดี และสรุปตอนจบว่า “เพราะความเพียรพยายามไม่ยอมหยุด ในที่สุดกบตัวนั้นก็กระโดดผึงพ้นจากโคลนตมไปได้” แม่ยกมือทำท่าเหมือนกบกระโดดให้ดู
ส่วนพ่อที่นั่งสูบยาใบตองสานตระกร้าอยู่ข้างๆก็จะเสริมด้วยคำคมว่า “เกิดเป็นคนอย่าให้อายกบควรพยายามจนกว่าจะประสบความสำเร็จ”
แม่มีนิทานในทำนองนี้อีกมาก คงจำมาจากนิทานหรือละครวิทยุ เพราะแม่ไม่เคยเดินทางไกล นอกจากฟังวิทยุ แต่ความจำของแม่ไม่ค่อยแม่นยำนัก บางครั้งก็เปลี่ยนนิทานที่เคยได้ยินมาใหม่ แม่มีกลวิธีสอนลูกๆที่แม้จะโตจนเป็นคนแก่แล้วก็ยังจำนิทานของแม่ที่เล่าให้ฟังสมัยยังเป็นเด็กได้
ถ้อยคำของพ่อตอนนั้นไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่พอได้ศึกษามากขึ้นจึงทำให้รู้ว่าพ่อกำลังอ้างคำสอนของพระพุทธศาสนาโดยจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามถ้อยคำของพ่อในวันนั้นมีปรากฎในทำนองคล้ายกันจากวิโรจนอสุรินทสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/892 272) ความว่า “ครั้งหนึ่งท้าวสักกะจอมเทวดากับท้าววิโรจนะจอมอสูร เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วได้ยืนพิงบานพระทวารองค์ละข้าง
ท้าวเวโรจนะจอมอสูรได้ตรัสคาถานี้ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคว่า “เป็นชายควรพยายามไปจนกว่าประโยชน์สำเร็จ ประโยชน์งดงามอยู่ที่ความสำเร็จ นี้เป็นถ้อยคำของเวโรจนะ”
ส่วนท้าวสักกะจอมเทวดาตรัสว่า “เป็นชายควรพยายามไปจนกว่าประโยชน์สำเร็จ ประโยชน์ทั้งหลายงดงามอยู่ที่ความสำเร็จ ประโยชน์ยิ่งกว่าขันติไม่มี”
จอมอสูรและท้าวสักกะแม้จะอยู่คนละฝ่ายคือฝ่ายมารและฝ่ายเทพ แต่ทว่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าของพระพุทธเจ้าถ้อยคำของทั้งสองล้วนน่าฟัง แม้บทสรุปจะไม่เหมือนกัน แต่คำว่า “เป็นชายควรพยายามไปจนกว่าประโยชน์สำเร็จ” นำมาใช้ได้แม้ทุกสถานการณ์ เหมือนกบตัวนั้นที่พยายามจนพ้นจากโคลนตมได้
เวลาที่เหนื่อยล้า อ่อนแรง ท้อแท้ หากใครยังมีแม่ก็ควรคิดถึงก่อน จะพึ่งคิดทำอะไรตามใจคิด หากผิดพลาดพลั้งมาจะแก้ไขไม่ทัน ยิ่งใกล้วันแม่เข้ามาทุกที ผู้เขียนเองก็กำลังคิดอยู่ว่าปีนี้จะหาอะไรไปฝากแม่ แม่เคยบอกว่าแม้จะได้ฟังเสียงจากโทรศัพท์ทุกวันก็ไม่เท่ากับได้เห็นหน้าลูก แม้จะได้ของฝากที่มีราคาแพงก็ไม่เท่ากับได้รับรู้ว่าลูกเป็นคนดี ตั้งใจว่าออกพรรษจะกลับไปเยี่ยมแม่ แต่ตอนนี้จะกลับไปเล่านิทานให้แม่ฟัง ส่วนพ่อคงไม่มีโอกาสได้ฟังแล้ว แต่ทำไมพอเขียนเรื่องนี้จบเหมือนกับกำลังเห็นพ่อกำลังยิ้มอย่างมีความสุข
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
29/07/54