มนุษย์นั้นแม้จะประกอบอาชีพอะไรก็สามารถทำบุญและทำให้ไปเกิดบนสวรรค์ได้เท่าเทียมกัน การทำบุญจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับอาชีพ จะรวยหรือจนก็ทำบุญได้เหมือนกันและการทำบุญของแต่ละคนนั้นจะได้รับอานิสงส์แตกต่างกัน บางคนทำมากได้น้อย แต่บางคนทำน้อยได้มาก นั่นเพราะความเลื่อมใสแห่งใจในขณะทำบุญทำให้แต่ละคนได้รับผลไม่เท่ากัน การทำบุญนั้นไม่มีข้อจำกัด ไม่เลือกเวลาจะทำตอนไหนก็ได้ วันนี้วันธรรมสวนะ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ขอเชิญฟัง "สิริมาวิมานและอุตตราวิมาน"
ในสมัยพุทธกาลแม้แต่อาชีพโสเภณีก็สามารถไปเกิดในสวรรค์ได้เหมือนกัน ดังกรณีของนางโสเภณีนามว่าสิริมา ตามปกติพระเถระที่ท่องเที่ยวไปยังนรกและสวรรค์มักจะเป็นพระมหาโมคคัลลานะผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้วยฤทธิ์ แต่ก็ยังมีพระเถระอีกหลายรูปที่ท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ดังเช่นพระวังคีสเถระ
ครั้งหนึ่งท่องเที่ยวไปยังสวรรค์ได้พบกับนางเทพธิดาที่มีวิมานอันงดงามนามว่าสิริมาวิมาน พระเถระประสงค์จะให้นางสิริมาเทพธิดาได้ประกาศบุญกรรมที่นางทำไว้ในครั้งก่อน จึงสอบถามนางด้วยสองคาถาดังที่ปรากฎในขุททกนิกาย วิมานวัตถุ (26/16/16) ความว่า “ม้าของท่านเทียมรถ ประดับด้วยอลังการอย่างเยี่ยม ก้มหน้าไปในอากาศ มีกำลังว่องไว ม้าเหล่านั้นเทียมรถห้าร้อยอันบุญกรรมเนรมิตแล้วนายสารถีเตือนแล้วก็พาตัวท่านไป ท่านนั้นประดับองค์แล้วยืนอยู่บนรถอันเพริศแพร้ว ก็สว่างไสวคล้ายดวงไฟกำลังโชติช่วงอยู่นี้ ดูก่อนเทพธิดาผู้อ่าองค์ น่าดูไม่จืด อาตมาขอถามท่านท่านมาจากเทพหมู่ไรจึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าผู้ที่ไม่มีใครประเสริฐยิ่งกว่า
สิริมาเทพธิดาจึงตอบด้วยคาถาว่า “บัณฑิตทั้งหลาย กล่าวถึงเทพซึ่งเป็นผู้เลิศด้วยกามหมู่ใดว่าเป็นทวยเทพที่เยี่ยมหาที่เปรียบมิได้ยินดีด้วยกามสมบัติ ที่ทวยเทพพวกอื่นมาเนรมิตให้นิมมานรดี ดิฉันเป็นอัปสรที่มีวรรณะงาม มาจากเทพหมู่นั้น มาในมนุษยโลกนี้ก็เพื่อจะถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ไม่มีใครประเสริฐยิ่งกว่า
พระเถระใคร่จะถามถึงบุญกรรมที่นางก่อสร้างไว้ในชาติก่อนจึงได้ถามด้วยสองคาถาว่า “ชาติก่อนแต่จะมาในที่นี้ ท่านได้สั่งสมสุจริตกรรมอะไรไว้ ท่านจึงมียศนับประมาณไม่ได้ เปี่ยมไปด้วยความสุข เพราะบุญอะไร ตัวท่านจึงมีฤทธิ์ ซึ่งไม่มีฤทธิ์ไร ๆ ประเสริฐยิ่งกว่า และเหาะได้เช่นนี้ ทั้งวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ ดูก่อนเทวดา ท่านมีทวยเทพห้อมล้อมสักการะท่านจุติมาจากที่ไหนจึงถึงสุคตินี้ อนึ่ง ท่านได้ทำตามโอวาทานุสาสนีของศาสดาองค์ไร หากท่านเป็นสาวิกาของพระพุทธเจ้าไซร้ ขอท่านได้โปรดบอกอาตมาด้วย
สิริมาเทพธิดา เมื่อจะตอบเนื้อความตามที่พระเถระถาม จึงกล่าวตอบด้วยคาถาเหล่านี้ว่า “ดิฉันเป็นปริจาริกานางบำเรอของพระเจ้าพิมพิสารผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ทรงมีสิริในมหานครซึ่งสถาปนาไว้ในระหว่างภูผา ดิฉันมีความชำนาญด้วยศิลปะการฟ้อนรำขับร้องอย่างเยี่ยม คนทั้งหลายในกรุงราชคฤห์ เขารู้จักดิฉันในนามว่า “สิริมา” เจ้าข้า พระพุทธเจ้าทรงเป็นนิสภะยอดผู้องอาจในจำพวกฤษีผู้แสวงหาคุณอันประเสริฐ ผู้แนะนำสัตว์โลกพิเศษ ได้ทรงแสดงทุกขสัจ สมุทัยสัจ ทุกขนิโรธสัจความดับทุกข์ อันไม่มีปัจจัยปรุงแต่งและมรรคสัจที่ไม่คดทางตรง เป็นทางเกษมแก่ดีฉัน ดิฉันครั้นฟังอมตบททางไม่ตาย ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่งเป็นคำสอนของพระตถาคตผู้ประเสริฐแล้ว จึงเป็นผู้สำรวมอย่างเคร่งครัดในศีลทั้งหลาย ดำรงมั่นอยู่ในธรรม ที่พระพุทธเจ้าผู้เลิศกว่านรชนทรงแสดงไว้แล้ว
ครั้นดิฉันรู้จักบทอันปราศจากกิเลสดุจธุลี ซึ่งปัจจัยปรุงแต่งมิได้ที่พระตถาคตผู้ประเสริฐทรงแสดงไว้นั้น ดิฉันจึงได้สัมผัสสมาธิอันเกิดจากความสงบในอัตภาพนั้นเอง อันนั้นเป็นความแน่นอนในมรรคผลอันเยี่ยมสำหรับดิฉัน ครั้นได้อมตธรรมอันประเสริฐ อันทำให้แยกจากปุถุชนแล้ว จึงเชื่อมั่นโดยส่วนเดียวในพระรัตนตรัย บรรลุคุณพิเศษเพราะตรัสรู้ หมดความสงสัย จึงเป็นผู้ที่ชนเป็นอันมาก บูชาแล้วจึงเสวยความยินดีระเริงเล่นไม่น้อยเลยโดยประการดังกล่าวมานี้ ดิฉันจึงเป็นเทพธิดาผู้เห็นนิพพาน เป็นสาวิกาของพระตถาคตผู้ประเสริฐ เป็นผู้ได้เห็นธรรมตามความเป็นจริง เป็นผู้ตั้งอยู่ในผลขั้นแรกคือเป็นโสดาบัน ทุคติเป็นอันไม่มีอีกละ ดิฉันนั้นมาเพื่อถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ และนมัสการภิกษุทั้งหลายที่น่าเลื่อมใส ผู้ยินดีในธรรมฝ่ายกุศลและเพื่อจะนมัสการสมณะสมาคมอันเกษม ดิฉันเป็นผู้มีความเคารพในพระธรรมราชาผู้ทรงพระสิริ ครั้นได้เห็นพระสัมพุทธมุนีแล้วก็ปลื้มใจอิ่มเอิบ ดิฉันขอถวายบังคมพระตถาคต ผู้เห็นสารถีฝึกคนดีที่ควรฝึก ทรงตัดตัณหาเสียได้ ทรงยินดีแล้วกุศลธรรม ผู้ทรงแนะนำประชุมชนให้พ้นทุกข์ ผู้ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกด้วยประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่ง”
ทั้งหมดนั้นเป็นคำตอบของนางเทพธิดานามว่าสิริมา ในอรรถกถาสิริมาวิมาน ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม 2 ภาค 1 หน้าที่ 129 ได้กล่าวถึงประวัตินางสิริมาไว้สรุปว่า “นางสิริมามีอาชีพเป็นโสเภณี แต่ใส่บาตรแก่พระสงฆ์วันละแปดรูป วันหนึ่งนางป่วยหนักแต่ก็ยังอยากใส่บาตร จึงมีผ้าเพียงน้อยชิ้นมาใส่บาตร มีพระภิกษุหนุ่มรูปหนึ่งพอเห็นหน้านางสิริมาเท่านั้นก็เกิดความหลงไหลในรูปกายที่ได้เห็นไม่เป็นอันกินอันนอนปล่อยให้วันเวลาผ่านไปด้วยการคิดถึงแต่ความสวยงามของนางสิริมา ต่อมาในวันนั้นนั่นเองนางก็เสียชีวิต พระพุทธเจ้าจึงให้ปล่อยศพนางไว้ที่ป่าช้ายังไม่ให้เผา จนศพพองอืดขึ้น จากนั้นก็ให้ชาวพระนครประกาศว่าหากใครอยากได้นางสิริมาจึงให้ทรัพย์ห้าร้อยกหาปณะในที่สุดก็ไม่มีใครอยากได้ศพพองอืดนั้น แม้จะให้ฟรีๆก็ตาม หรือแม้แต่แถมเงินให้อีกก็ยังไม่มีใครอยากได้
สมัยที่นางสิริมาประกอบอาชีพโสเภณีต้องจ่ายค่าตัววันละหนึ่งพันกหาปณะ เมื่อไม่มีต้องการจึงแสดงธรรมด้วยคาถาว่า “เธอจงดูรูปกาย ที่ปัจจัยทำให้งดงาม มีแผลกระดูกสร้างเป็นโครงขึ้น มีความเดือดร้อน มีความดำริมาก ซึ่งไม่มีความยืนยงคงที่เลย”
นางสิริมาเมื่อสิ้นชีวิตก็ได้เกิดเป็นนางเทพธิดาและมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้สนทนากับพระวังคีสะและได้แสดงบุพพกรรมของตนไว้ในสิริมาวิมานวัตถุ มนุษย์นั้นจะประกอบอาชีพอะไรก็สามารถทำบุญและไปเกิดในสวรรค์ได้ดังกรณีของนางสิริมาหญิงโสเภณีแห่งนครราชคฤห์คนนั้น
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
18/04/54
ธรรมบรรยาย
สิริมาวิมาน: โดยพระธรรมเมธาภรณ์
{mp3}siri{/mp3}
อุตตราวิมาน: โดยพระธรรมเมธาภรณ์
{mp3}utatra{/mp3}