โลกนี้เข้าใจยากขึ้นทุกวัน เกิดอะไรแปลกๆที่ไม่เคยคิดว่าจะๆได้เห็น หนาวในฤดูร้อน ฝนตกหนักน้ำท่วมในฤดูแล้ง แผ่นดินไหว ภูเขาไฟถล่ม ประชาชนพากันหวาดระแวงขาดที่พึ่ง อยู่อย่างหวาดผวา ใกล้สงกรานต์แทนที่จะร้อนกลับหนาวขึ้นมาดื้อๆ ภาคเหนือเผชิญกับแผ่นดินไหว ภาคใต้น้ำท่วมในฤดูแล้ง เห็นการสูญเสียได้แต่เฝ้าดูด้วยความสงสาร บางคนอาจจะต้องถึงขั้นสิ้นเนื้อประดาตัวไปเลยก็มี แต่ถึงอย่างไรเมื่อมีชีวิตก็ยังไม่หมดความหวัง
พระพุทธศาสนาแสดงเปรียบคนกับน้ำไว้หลายประเภทดังที่ปรากฎใน อุทกูปมสูตร อังคุตรนิกาย สัตตก (23/15/11) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบด้วยน้ำเจ็ดจำพวกนี้มีปรากฏฎอยู่ในโลกคือ(1)บุคคลบางคนในโลกนี้จมลงแล้วคราวเดียวก็เป็นอันจมอยู่นั่นเอง (2)บางคนโผล่ขึ้นมาแล้ว กลับจมลงไป (3)บางคนโผล่พ้นแล้วทรงตัวอยู่ (4)บางคนโผล่ขึ้นแล้วเหลียวไปมา (5) บางคนโผล่ขึ้นแล้วเตรียมตัวจะข้าม (6) บางคนโผล่ขึ้นแล้วได้ที่พึ่ง (7) บางคนโผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบก”
มีคำอธิบายตามทัศนะของพระพุทธศาสนาว่าบุคคลที่จมลงแล้วคราวเดียวก็เป็นอันจมอยู่หมายถึงบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยอกุศลธรรมฝ่ายดำโดยส่วนเดียว คนประเภทนี้ชั่วแล้วชั่วเลยกลับตัวไม่ได้
บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้กลับจมลงไปหมายถึงบุคคลบางคนในโลกนี้โผล่ขึ้นมาได้คือเขามีธรรมคือศรัทธา หิริ โอตตัปปะวิริยะ ปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย แต่ศรัทธาของเขานั้นไม่คงที่ ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาของเขานั้น ไม่คงที่ไม่เจริญขึ้น เสื่อมไปฝ่ายเดียว ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วกลับจมลงอย่างนี้แล
บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วทรงตัวอยู่อย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้โผล่ขึ้นมาได้คือเขามีธรรมเหล่านี้คือศรัทธา หิริโอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย แต่ศรัทธาของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่ หิริ โอตตัปปะ วิริยะ และปัญญาของเขานั้นไม่เสื่อมลง ไม่เจริญขึ้น คงที่อยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วทรงตัวอยู่อย่างนี้แล
บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเหลียวไปมาอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้คือเขามีธรรมเหล่านี้คือศรัทธา หิริโอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะสังโยชน์สามสิ้นไปเขาเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้าดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเหลียวไปมาอย่างนี้แล
บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเตรียมตัวจะข้ามอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้คือเขามีธรรมเหล่านี้คือศรัทธา หิริโอตตัปปะ วิริยะ ปัญญาชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะสังโยชน์สามสิ้นไป เพราะทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง เขาเป็นพระสกทาคามีมาสู่โลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเตรียมตัวจะข้ามอย่างนี้แล
บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้คือเขามีธรรมเหล่านี้คือศรัทธา หิริ โอตตัปปะวิริยะ ปัญญา ชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ห้าสิ้นไป เขาเป็นพระอนาคามี จักปรินิพพานในภพนั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลที่โผล่ขึ้นมาแล้วได้ที่พึ่งอย่างนี้แล
บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์ ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบกอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นมาได้คือเขามีธรรมเหล่านี้คือ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ วิริยะ ปัญญา ชั้นดีๆ ในกุศลธรรมทั้งหลายเขากระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ บุคคลที่โผล่ขึ้นมาได้แล้วเป็นพราหมณ์ ข้ามถึงฝั่งอยู่บนบกอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเปรียบด้วยน้ำเจ็ดจำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
ถ้ารู้ว่าตนเป็นที่รักก็ต้องหาทางช่วยเหลือตนเองทำตนให้เป็นที่พึ่ง ดังที่มีแสดงไว้ในปิยสูตรสังยุตตนิกาย สคาถวรรค(15/336/91) “ถ้าบุคคลพึงรู้ว่าตนเป็นที่รัก ไม่พึงประกอบด้วยบาป เพราะว่าความสุขนั้นไม่เป็นผลที่บุคคลผู้ทำชั่วจะพึงได้โดยง่าย เมื่อบุคคลถูกมรณะครอบงำ ละทิ้งภพมนุษย์ไปอยู่ ก็อะไรเป็นสมบัติของเขา และเขาย่อมพาเอาอะไรไปได้ อนึ่งอะไรเล่าจะติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตนไปฉะนั้น”
ผู้ที่มาเกิดแล้วจำจะต้องตายในโลกนี้ ย่อมทำกรรมอันใดไว้ คือเป็นบุญและเป็นบาปทั้งสองประการ บุญและบาปนั้นแลเป็นสมบัติของเขา และเขาจะพาเอาบุญและบาปนั้นไปสู่ปรโลก อนึ่ง บุญและบาปนั้นย่อมเป็นของติดตามเขาไปประดุจเงาติดตามตนไปฉะนั้น เพราะฉะนั้นบุคคลพึงทำกัลยาณกรรมสะสมไว้เป็นสมบัติในปรโลก เพราะว่าบุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก”
ผู้ที่กำลังประสบภัยภิบัติเราก็ช่วยเท่าที่จะสามารถช่วยได้ แต่จะให้ช่วยทุกคนคงไม่ทั่วถึง คนอื่นช่วยได้เพียงบางส่วนและคงช่วยเหลือได้ไม่มากนัก เพราะแทบทุกคนก็กำลังประสบกับภัยพิบัติเหมือนกัน คนพวกหนึ่งประสบกับภัยภายนอก แต่มีคนอีกจำนวนมากที่กำลังเจอวิกฤติทางศีลธรรม ขาดที่พึ่ง มองไปทางไหนมีแต่ความมืดมน เราพึ่งคนอื่นได้เพียงบางส่วน แต่หากเราสร้างที่พึ่งได้เองแล้ว ก็ไม่ต้องไปหาที่พึ่งจากที่ใดอีกเลย จงมีตนเป็นที่พึ่งเถิดเพื่อนร่วมโลกทั้งหลายเอ๋ย
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
04/04/54