ตามดูข่าวคลื่นสึนามิถล่มญี่ปุ่นตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ วันนั้นมีพระภิกษุท่านหนึ่งบอกว่าคลื่นสึนามิถล่มญี่ปุ่นมีคนตายนับหมื่นคน สนามบินถูกปิด ความเสียหายยังประเมินไม่ได้ ท่านมีญาติที่ญี่ปุ่นหรือไม่ จึงบอกท่านไปว่าผมไม่รู้จักใครที่ญี่ปุ่นเลย แต่เคยไปพักที่วัดไดอุนจิ กรุงโตเกียวครั้งหนึ่งนานหลายปีมาแล้ว พอถึงช่วงเย็นจึงได้ดูข่าว ส่วนหนึ่งดูจากสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น เพราะเห็นภาพเคลื่อนไหวที่ทันต่อเหตุการณ์ท แม้จะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่รู้เรื่อง แต่จากสภาพที่เห็นต้องบอกว่าเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ของธรรมชาติจริงๆ เหมือนทะเลพิโรธโกรธใครมาสักพันปี
ธรรมชาติยากที่จะคาดเดาได้ มันมาโดยที่ยังไม่ได้ตั้งตัว ทั้งๆที่คำว่า “สึนามิ” เป็นภาษาญี่ปุ่น มีแหล่งกำเนิดมาจากญี่ปุ่น ดังนั้นประเทศญี่ปุ่นน่าจะเป็นประเทศที่รู้จักกับสึนามิดีที่สุดและมีระบบเตือนภัยระบบการป้องกันดีที่สุดในโลก แต่ก็ยังเกิดการสูญเสียอย่างสุดจะคณานับ ประเทศที่เป็นเกาะสักวันก็ต้องพานพบกับคลื่นยักษ์แบบนี้ ในขณะที่ประเทศที่มีภูเขาก็ต้องเสี่ยงกับภูเขาไฟระเบิด ส่วนประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมืองก็ต้องเสี่ยงกับการเกิดม็อบและการประท้วงจากฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย ภัยที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่าภัยจากธรรมชาติ
ในพระพุทธศาสนาแม้จะมีเรื่องคลื่นยักษ์แต่เกิดจากการแสดงปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าและพุทธสาวก ในยุคแรกๆที่แสดงแก่ชฎิลที่ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชราเรียกว่าปาฏิหาริย์น้ำท่วม ดังที่ปรากฎในอรรถกถาพระวินัยปิฎก มหาวรรค (4/50/100)สรุปความว่า “โดยสมัยนั้นแล เมฆใหญ่ในสมัยที่มิใช่ฤดูกาลยังฝนให้ตกแล้ว ห้วงน้ำใหญ่ได้ไหลนองไป ประเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่นั้นถูกน้ำท่วมขณะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดำริว่าไฉนหนอเราพึงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบแล้วจงกรมอยู่บนภาคพื้น อันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง ครั้นแล้วจึงทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบแล้วเสด็จจงกรมอยู่บนภาคพื้น อันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง ต่อมาชฎิลอุรุเวลกัสสปกล่าวว่า พระมหาสมณะอย่าได้ถูกน้ำพัดไปเสียเลยดังนี้ แล้วพร้อมด้วยชฏิลมากด้วยกัน ได้เอาเรือไปสู่ประเทศที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงบันดาลให้น้ำห่างออกไปโดยรอบแล้ว เสด็จจงกรมอยู่บนภาคพื้นอันมีฝุ่นฟุ้งขึ้นตอนกลาง แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่าข้าแต่มหาสมณะท่านยังอยู่ที่นี่ดอกหรือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตอบตรัสว่า ถูกละกัสสป เรายังอยู่ที่นี่ จากนั้นเสด็จขึ้นสู่เวหาสปรากฏอยู่ที่เรือ จึงชฎิลอุรุเวลกัสสปได้มีความดำริว่าพระมหาสมณะมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงกับบันดาลไม่ให้น้ำไหลไปได้ แต่ก็ไม่เป็นพระอรหันต์เหมือนเราแน่”
อานุภาพของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นยากที่จะคาดเดาได้ การแสดงปาฏิหาริย์แบบนี้ พระพุทธเจ้าไม่ค่อยแสดงให้ใครดู ยกเว้นในช่วงแรกที่ต้องการเผยแผ่พระพุทธศาสนาต้องการปราบพยศนักบวชในลัทธิอื่น ต่อมาภายหลังได้ห้ามพระสงฆ์แสดงฤทธิ์ เพราะพระปิณโฑลภารทวาชะเป็นเหตุมีเรื่องสรุปได้ว่า “ราชคฤห์เศรษฐีต้องการทราบว่ามีพระอรหันต์ในโลกจริงหรือไม่ จึงได้ให้คนกลึงบาตรไม้จันทร์และแขวนไว้บนเสาไม้ไฝ่สูงริบลิ่ว แต่ไม่มีนักบวชท่านใดสามารถเหาะขึ้นไปนำบาตรนั้นลงมาได้ จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งพระมหาโมคคัลลานะและพระปิณโฑลภารทวาชะกำลังจะออกบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ได้ยินเสียงประชาชนชุมนุมกันจึงไปดูเมื่อได้ทราบข่าว พระมหาโมคคัลลนะจึงบอกให้พระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นเอาบาตรลงมา แสดงฤทธิ์ให้ชาวเมืองได้รับทราบว่ายังมีพระอรหันต์ในโลก พระปิณโฑลภารทวาชะเหาะขึ้นสู่เวหาสถือบาตรนั้นเวียนไปรอบเมืองราชคฤห์สามรอบ ชาวเมืองเห็นเหตุการณ์จึงพากันเดินตามพระปิณโฑลภารทวาชะเหมือนกับเกิดงานมหกรรม เขาคิชกูฏจึงเต็มไปด้วยคลื่นมหาชน
พระพุทธเจ้าทราบเรื่องจึงให้ประชุมสงฆ์และเมื่อสอบถามทราบรายละเอียดแล้วจึงได้บัญญัติสิกขาบท(7/33/11) ความว่า“ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุ เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระปิณโฑลภารทวาชะจนทราบข้อเท็จจริง พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ภารทวาชะการกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน เธอจึงได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ ซึ่งเป็นดุจซากศพเล่า มาตุคามแสดงของลับ เพราะเหตุแห่งทรัพย์ซึ่งเป็นดุจซากศพแม้ฉันใด เธอก็ฉันนั้นเหมือนกัน ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ เพราะเหตุแห่งบาตรไม้ซึ่งเป็นดุจซากศพ การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฎิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ แก่พวกคฤหัสถ์ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงทำลายบาตรไม้นั่น บดให้ละเอียด ใช้เป็นยาหยอดตาของภิกษุทั้งหลาย อนึ่งภิกษุไม่พึงใช้บาตรไม้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายภิกษุไม่พึงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์แก่พวกคฤหัสถ์ รูปใดแสดงต้องอาบัติทุกกฏ”
คำว่าปาฏิหาริย์หมายถึงความมหัศจรรย์ ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาด ในทีฆนิกาย สีลขันธวรรค (9/339/229) แสดงปาฏิหาริย์ไว้สามประการ ความว่า “ปาฏิหาริย์สามอย่างคือ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ อนุสาสนีปาฏิหาริย์” ในปาฏิหาริย์ทั้งสามอย่างมีคำอธิบายดังนี้
1.อิทธิปาฏิหาริย์ หมายถึงการแสดงฤทธิ์ อันเกินวิสัยสามัญชนเช่นเหาะไปในอากาศ ดำลงไปในแผ่นดิน เดินบนน้ำเป็นต้น ฤทธิ์เหล่านี้เป็นความสำเร็จทางใจ ไม่อยู่ในวิสัยของคนผู้ไม่เคยฝึกด้านนี้มาจนเกิดความชำนาญจะทำได้
2.อาเทสนาปาฏิหาริย์ หมายถึงการที่พระพุทธเจ้า ทรงทราบความคิดของคนคืออ่านความคิด อุปนิสัยตลอดถึงบารมีธรรมเป็นต้นของคนอื่น ๆ ได้
3.อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือคำสอนของพระพุทธเจ้า มีความอัศจรรย์ในตัวคำสอน กรรมวิธีในการสอน และผลอันเกิดขึ้นจากการปฏิบัติตามคำสอนคือ ผู้ปฏิบัติตาม จะได้รับผลตามสมควรแก่การปฏิบัติ
ในปาฏิหาริย์ทั้งสามประการนี้ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญอนุสาสนีปาฏิหาริย์ว่าเป็นยอด เพราะสามารถช่วยให้บุคคลได้รับประโยชน์จากพระศาสนาอย่างแท้จริง
สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่นในครั้งนี้หากจะบอกว่าเป็นปาฏิหาริย์ที่เกิดจากธรรมชาติน่าจะจัดเข้าในอิทธิปาฏิหาริย์ธรรมชาติแสดงฤทธิ์เดชที่มีผลทำให้เกิดการสูญเสียอย่างเหลือคณานับ โบราณมีคำสอนไว้ตอนหนึ่งว่า “อย่าไว้ใจทะเลทุกเวลา”เพราะจะเกิดความมหัศจรรย์ขึ้นเมื่อใดไม่มีใครบอกได้ หรือหากคาดเดาได้ก็ยังไม่แน่ว่าจะถูกต้องทั้งหมด ดูอย่างญี่ปุ่นที่มีเครื่องมือตรวจวัด เตือนภัยที่ทันสมัย ประชาชนส่วนหนึ่งก็ยังหนีภัยไม่พ้น หลายพันคนเลือนหายไปกับกระแสคลื่น ธรรมชาติคาดเดาได้ยากเสมอ มนุษย์อาจแสดงปาฏิหาริย์ได้ แต่ไม่อาจจะเทียบเท่ากับปาฏิหาริย์แห่งธรรมชาติ ธรรมชาติแสดงปาฏิหาริย์ได้น่ากลัวที่สุด
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
13/03/54