ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

            เมืองสาวัตถีหรือสรัสวัตดีในปัจจุบัน เป็นเมืองที่ค่อนข้างจะอยู่ห่างไกลจากสังเวชนียสถานที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธเจ้า อากาศแห้ง ตั้งอยู่ในที่ราบ ดูไปเหมือนประเทศไทยทางตอนบนหรือคล้ายเมืองอุดรหนองคายประมาณนั้น แต่ทว่าสถานที่แห่งนี้กลับสร้างคุณูปการให้กับพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เพราะตามประวัติบันทึกไว้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จประทับที่วัดเชตวันมหาวิหาร และวัดบุปผารามเมืองสาวัตถีเป็นเวลายาวนานถึงยี่สิบห้าปี เมืองนี้คงต้องมีอะไรดีพระพุทธเจ้าจึงอยู่จำพรรษาได้นานกว่าที่อื่น และทรงแสดงธรรมไว้มากที่สุด จนอาจกล่าวได้ว่าพระไตรปิฏกครึ่งหนึ่งเกิดที่พาราสาวัตถีแห่งนี้


            เพลาเช้าต้นเดือนกุมภาพันธ์ ท้องฟ้าสลัวปกคลุมไปด้วยหมอกจางๆพื้นหญ้าในบริเวณวัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถีเปียกชื้นเพราะหยาดน้ำค้างตั้งแต่เมื่อคืน ปัจจุบันเมืองสาวัตถียังมีวัวเทียมเกวียนให้เห็นแทบทุกแห่ง ตอนสายของวันนั้นหน้าบ้านอนาถปิณฑิกเศรษฐีและหน้าบ้านอหิงสกะยังเห็นเกวียนหลายเล่มบรรทุกอ้อยหรือพืชผลทางการเกษตรอื่นๆมาจนเต็มลำเกวียนค่อยๆผ่านไปบนถนนคอนกรีตสวนทางไปมากับรถยนต์ เกวียนและรถอยู่บนถนนสายเดียวกัน ดูเหมือนว่ากาลเวลาไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงวีถีชีวิตของชาวเมืองสาวัตถีในอดีตเลย หรือหากเปลี่ยนก็เปลี่ยนน้อยมาก เมืองนี้ยังเลี้ยงวัวเลี้ยงควายไล่ต้อนวัวควายไปหากินหญ้าตามท้องทุ่ง

 

            มองเห็นสภาพวัดเชตวันเมืองสาวัตถีในปัจจุบัน แต่ทำไมในใจจึงกลับจินตนาการเห็นว่าเมืองสาวัตถีมองดูคล้ายๆดินแดนทางภาคอีสานเช่นอุดรธานี ขอนแก่นสกลนครก็ไม่รู้ ดินแดนแถบนี้มักจะมีพระเถระที่มีชื่อเสียงและชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นพระอริยบุคคลจำนวนมากเช่นหลวงปู่มั่น หลวงปู่ขาว หลวงปู่ฝั้น หรือแม้แต่หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ที่พึ่งละสังขารไปไม่นานก็ยังมีถิ่นพำนักที่อุดรธานี
            สมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่นั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลกษัตริย์แห่งโกศลรัฐมักจะมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ ส่วนมากจะถามปัญหาทั่วไป ปัญหาที่พระเจ้าปเสนทิทูลถามนั้นมักจะเป็นปัญหาง่ายๆ อาจจะเรียกว่าได้ว่าเป็นปัญหาระดับชาวบ้านเช่นในปุริสสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/328/88)ครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมกี่อย่างเมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุคคล ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย” แปลไทยเป็นไทยได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจของมนุษย์แล้วมีส่วนทำให้อยู่ไม่มีความสุขไม่มีความสบายคืออะไร 
            พระพุทธเจ้าก็ตอบง่ายๆว่า “ดูกรมหาบพิตร ธรรมสามอย่างเมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบายคือโลภะ โทสะ โมหะ เมื่อบังเกิดขึ้นในภายในของบุคคล ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อความทุกข์ เพื่อความอยู่ไม่สบาย” 

            ธรรมสามอย่างเรียกว่าอกุศลกรรมหมายถึงกรรมที่เป็นอกุศล กรรมชั่ว การกระทำที่ไม่ดี ไม่ฉลาด ไม่เกิดจากปัญญา ทำให้เสื่อมเสียคุณภาพชีวิต 
            โลภ หมายถึงความอยาก ความดิ้นรน ความอยากดูเหมือนจะเป็นธรรมชาติเบื้องต้นของมนุษย์ ทุกคนต้องมีความอยากอยู่ภายใน หากไม่มากจนเกินเหตุก็จะเป็นพลังผลักดันให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ แต่ถ้าอยากได้จนเกินพอดีนั่นก็จะกลายเป็นผลร้าย เพราะบางคนเพื่อสนองความอยากของตนเองอาจทำลายล้างผู้อื่นให้พินาศฉิบหายได้ ผู้ปกครองบางประเทศเพียงเพื่อต้องการให้ตนเองอยู่ในอำนาจนานที่สุด ถึงกับต้องทำร้ายเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปเป็นจำนวนมาก
            หากแสดงธรรมแก่ชาวบ้านผู้ครองเรือนก็จะใช้คำว่า “โลภะ” แต่ถ้าแสดงธรรมแก่ภิกษุหรือพวกนักบวชจะใช้คำว่า “ราคะ” ซึ่งใช้แทนกันได้ เพราะคำว่า “ราคะ”แปลว่า สี เครื่องย้อม ความกำหนัด ความยินดี ฆราวาสเรียกว่าความอยาก แต่หากเป็นพระสงฆ์เรียกว่าความกำหนัด 

            โทสะ เป็นคำนามปุงลิงค์หรือเพศชายหมายถึงความประทุษร้าย ความโกรธ ความขัดเคือง ความเกลียดชัง ความมุ่งร้าย โทษ ความเสียหาย ความผิดพลาด ข้อบกพร่อง ข้อควรตำหนิ แต่ถ้าเป็นอัพยยศัพท์คือศัพท์ที่ตายตัวแจกตามวิภัตตินามและอาขยาตไม่ได้ คงอยู่อย่างไรก็คงอยู่อย่างนั้น ก็จะกลายเป็น “โทสํ”หรือ “โทสัง” แปลว่ายามค่ำ ตอนกลางคืน ในเวลากลางคืน
            โมหะ หมายถึงความหลง ส่วนจะหลงอย่างไรนั้นเรื่องนี้อธิบายได้ยากที่สุด สรุปสั้นๆว่าหลงไม่รู้ตามความเป็นจริง ส่วนอะไรจริงอะไรเท็จนั้นเรื่องนี้ต้องคิดและอธิบายกันอีกยาว
            ราคะ โทสะ โมหะนั้นเมื่อเกิดขึ้นภายในจิตใจของผู้ใดแล้วจะเกิดอาการร้อนเหมือนถูกไฟเผาผลาญท่านจึงเรียกกิเลสทั้งสามว่าไฟดังที่ปรากฎในอาทิตตปริยายสูตร มหาวรรค(4/55/49)ความว่า “สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อนเพราะไฟคือราคะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ” และยังถือว่าเป็นรากเหง้าหรือต้นเหตุของการทำชั่วอีกด้วย

            ในติตถิยสูตรอังคุตรนิกาย ติกนิบาต ได้แสดงโทษของกิเลสทั้งสามไว้ว่า (20/508/191) “ราคะมีโทษน้อยคลายช้า โทสะมีโทษมากคลายเร็ว โมหะมีโทษมากคลายช้า” หากจะแสดงตามสำนวนไทยก็อาจจะได้ความว่า “ราคะเหมือนไฟไหม้แกลบ โทสะเหมือนไฟไหม้ฟาง ส่วนโมหะเหมือนไฟสุมขอน 
            เหตุปัจจัยที่ทำให้ราคะเกิดขึ้นนั้นพระพุทธเจ้าแสดงต่อไปว่า “สุภนิมิตคือความกำหนดหมายว่างาม เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยอุบายไม่แยบคายถึงสุภนิมิต ราคะที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง”
            เหตุปัจจัยที่ทำให้โทสะเกิดขึ้นนั้นพระพุทธเจ้าแสดงต่อไปอีกว่า “ปฏิฆนิมิตคือความกำหนดหมายว่ากระทบกระทั่ง เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยไม่แยบคายถึงปฏิฆนิมิต โทสะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง ผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้โทสะที่ยังไม่เกิดเกิดขึ้น หรือที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง 
            เหตุปัจจัยที่ทำให้ราคะเกิดขึ้นนั้นพระพุทธเจ้าแสดงไว้ว่า “อโยนิโสมนสิการ เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยไม่แยบคาย โมหะที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่งผู้มีอายุทั้งหลาย ข้อนี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยเครื่องให้โมหะที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญไพบูลย์ยิ่ง” 

            เมื่อกิเลสทั้งสามเกิดขึ้นแล้วจะละหรือระงับได้อย่างไรนั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงแสดงต่อไปว่า “ราคะละได้ด้วยอสุภนิมิตคือความกำหนดหมายว่าไม่งาม ส่วนโทสะละได้ด้วยเมตตาเจโตวิมุติเมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยแยบคายถึงเมตตาเจโตวิมุติโทสะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้นและที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้ และโมหะนั้นจะละได้ด้วย โยนิโสมนสิการ เมื่อบุคคลนั้นทำไว้ในใจโดยแยบคาย โมหะที่ยังไม่เกิด ย่อมไม่เกิดขึ้น และที่เกิดขึ้นแล้วย่อมละได้”
            ธรรมหมวดนี้พระพุทธเจ้าทรงแสดงที่เมืองสาวัตถี พระสูตรแรกแสดงแก่พระเจ้าปเสนทิโกศล ส่วนติตถิยสูตรแสดงแก่พวกภิกษุเพื่อที่จะได้ตอบคำถามของพวกเดียรถีย์อันเป็นนักบวชนอกพระพุทธศาสนา ซึ่งมีสำนักตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดเชตวันเท่าใดนัก หากดูตามแผนที่ในปัจจุบันที่ยังปรากฎหลักฐานของซากโบราณคดี สำนักเดียรถีย์ตั้งอยู่ระหว่างกลางพอดีระหว่างวัดเชตวันและบ้านอนาถปิณฑิกเศรษฐี พระพุทธเจ้าและหมู่ภิกษุคงเดินบิณฑบาตผ่านสำนักนักบวชเหล่านี้แทบทุกวัน

            ธรรมนั้นแม้จะเกิดขึ้นต่างยุคต่างสมัย แต่ทว่าเนื้อหาทุกอย่างยังคงใช้ได้แม้ในปัจจุบัน ผู้คนยังเต็มไปด้วยโลภะ(ราคะ) โทสะ โมหะเหมือนในอดีต ดูเหมือนว่ากิเลสเหล่านี้จะเป็นคู่ปรับของมนุษย์ชาติตลอดกาล ผู้ที่เอาชนะได้ก็สบายไป ส่วนผู้ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎสงสารภายใต้กองกิเลสเหล่านี้ก็ต้องทนลำบากกันต่อไป ไฟภายนอกหากควบคุมไม่ได้ก็อาจทำลายล้างได้เพียงแค่ในปัจจุบันชาติเท่านั้น แต่ทว่าไฟภายในหากเกิดขึ้นกับผู้ใดแล้วควบคุมไว้ไม่ได้ก็จะแผดเผาใจไปอีกหลายภพหลายชาติ

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
23/02/54

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก