เริ่มต้นปีเถาะซึ่งมีสัญลักษณ์เป็นกระต่าย ตามทัศนะของจักราศรี หากเฝ้ามองพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญจะเห็นมีลักษณะคล้ายกระต่ายอยู่กลางดวงจันทร์ ตามทัศนะของนักดาราศาสตร์รูปที่คล้ายกระต่ายนั้นคือพื้นผิวดวงจันทร์ที่เต็มไปด้วยภูเขาสูงๆต่ำเมื่อมองดูจากที่ไกลจึงมีรูปร่างคล้ายกระต่าย แต่ตามทัศนะที่ปรากฎในพระพระสุตตันปิฏก กระต่ายบนดวงจันทร์มีที่มาที่ต่างออกไปจากทัศนะของวิชาดาราศาสตร์
ตามทัศนะทางโหราศาสตร์เชื่อกันว่าคนเกิดปีเถาะหรือปีกระต่ายถือว่าเป็นมนุษย์ ผู้หญิง ธาตุไม้ มิ่งขวัญสิงอยู่ที่ต้นมะพร้าว และต้นงิ้วท่านผู้เกิดปีเถาะ สิริตกที่บ่าซ้ายของพรหม พุธเป็นปากท่านว่า เจรจาพาทีเป็นที่ต้องใจของคนทั่วไป แต่มักเป็นการกล่าวประจบสอพลอยยกตัวเองมากกว่า เป็นข้าราชการมักชอบฟ้องมิตรสหายต่อเจ้านายเสียคน ไม่มีคนอยากคบด้วย
ศุกร์เป็นใจ ท่านว่ามีใจมักง่าย มักมากในอารมณ์ กล้าหาญเพราะเพศตรงข้ามให้กำลังใจ มักหึงหวง โกรธง่ายหายเร็ว บางครั้งมีจิตใจเหม่อลอย ไม่มีเหตุผล ขี้หลงขี้ลืม แต่ชอบอาสาเจ้านาย
จันทร์เป็นที่นั่ง ท่านว่ามักใฝ่ใจหมกมุ่นในกามราคะ ไม่อิ่มในรสกามารมณ์ มักชอบผิดลูกเขา เมียท่าน เป็นหญิงมักให้ท่าเพศตรงข้าม แต่มักระงับอารมณ์ได้รวดเร็ว ทำกิจการใด ๆ มักมีคนมาช่วยเหลือ
พฤหัสบดีกับเสาร์ เป็นมือ ท่านว่าผู้นั้น มักจะทำงานเรียบร้อย รักสวย รักงาม มีแผนงาน เจ้าระเบียบ เป็นหญิงจะมีเสน่ห์เพราะฝีมือการปรุงอาหารหวานคาว
อาทิตย์กับอังคารเป็นเท้า ท่านว่าผู้นั้น ชอบท่องเที่ยวทัศนาจร แสวงหาความรู้ ประสบการณ์จะมีการเดินทางไกลมากหลายครั้งในชีวิต
ท่านผู้เกิดปีเถาะ ถ้าเกิดเวลากลางวัน เกิดกลางคืนไม่สู้ดี จะมีความรัก คู่รักมากและมักจะประพฤติตนผิดประเพณี ไม่เลือกเมียเขาผัวใครด้วย หรือไม่จะผิดหวังในความรักได้เมื่อปางพระเนมิราชไปเยี่ยมสวรรค์ นรก ต้องจากที่อยู่ ทิ้งทรัพย์สินเงินทองของรัก เอาแต่ใจคนอื่นจนไม่มีเวลาเป็นของ ๆ ตัวเอง ท่านผู้เกิดปีนี้ไปอยู่ท้องที่ใด ๆ ควรปลูกต้นมะพร้าว ต้นงิ้ว ไว้เบื้องทิศเหนือของบ้านเรือนเพื่อปราบอัปมงคลอันจะเกิดกับตนและครอบครัว
ตามคติความเชื่อของเมืองเหนือเชื่อกันว่าคนเกิดปีเหม้า(ปีเถาะหรือปีกระต่าย)ธาตุน้ำพระธาตุประจำปีเกิดคือพระธาตุแช่แห้ง อำเภอเมือง จังหวัดน่านพระธาตุแช่แห้ง ตั้งอยู่บนยอดดอยขนาดเล็ก นอกเมืองน่าน คนที่ไม่ได้เกิดปีเถาะจะไปสักการะก็ได้ เพราะถือว่าพระธาตุแช่แห้งเป็นพระธาตุประจำปีเถาะก็ได้ ใครที่ผ่านไปทางจังหวัดน่านหากมีโอกาสจะแวะสักการะพระธาตุเพื่อความเป็นศิริมงคลก็ได้
พระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่าน
วิชาโหราศาสตร์ก็ทำนายกันไปส่วนจะถูกต้องหรือผิดพลาดอย่างไรนั้นควรฟังไว้ แต่อย่างพึ่งเชื่อทั้งหมด บางอย่างที่คิดวั้อาจจะไม่เป็นไปตามที่คิดก็ได้ หรือบางอย่างที่ไม่ได้คิดไว้อาจเกิดขึ้นก็ได้
ในพระพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็นกระต่ายได้บริจาคเนื้อเป็นทาน ดังที่ปรากฎในอรรถกถาสสปัณฑิตชาดก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม 3 ภาค 4 หน้าที่ 482 สรุปความว่า “ในอดีตกาลเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดกระต่ายอยู่ในป่า ก็ป่านั้นได้มีเชิงเขา แม่น้ำและปัจจันตคามมารวมกันแห่งเดียว สัตว์อีกสามตัวคือลิง สุนัขจิ้งจอก นากและกระต่ายเป็นสหายกัน เมื่อได้อาหารอิ่มในแต่ละวันแล้ว เวลาเย็นมาประชุมกัน กระต่ายแสดงธรรมทุกวันโดยเน้นว่าพึงให้ทาน พึงรักษาศีลพึงกระทำอุโบสถกรรม สัตว์ทั้งสามต่างก็ได้ปฎิบัติตามโอวาทของกระต่าย
วันหนึ่งกระต่ายโพธิสัตว์มองดูอากาศเห็นดวงจันทร์รู้ว่าพรุ่งนี้เป็นวันอุโบสถ จึงกล่าวกะสัตว์ทั้งสามว่าพรุ่งนี้เป็นวันอุโบสถ แม้ท่านทั้งสามจงสมาทานศีลรักษาอุโบสถ ทานที่ผู้ตั้งอยู่ในศีลแล้วให้ย่อมมีผลมาก เพราะฉะนั้นเมื่อยาจกมาถึงเข้าท่านทั้งหลายพึงให้รสอาหารที่ควรกินแล้วจึงค่อยกิน สัตว์ทั้งสามนั้นรับคำแล้วพากันอยู่ในที่เป็นที่อยู่ของตน
วันรุ่งขึ้นนากคิดว่าเราจักแสวงหาเหยื่อแต่เช้าตรู่จึงไปยังฝั่งแม่น้ำคงคา ครั้งนั้นพรานเป็ดคนหนึ่งตกปลาตะเพียนได้เจ็ดตัว จึงเอาเถาวัลย์ร้อยคุ้ยทรายที่ฝั่งแม่น้ำคงคาเอาทรายกลบไว้ เมื่อจะจับปลาอีกจึงไปยังด้านใต้แม่น้ำคงคา นากสูดได้กลิ่นปลาจึงคุ้ยทรายเห็นปลาจึงนำออกมา คิดว่าเจ้าของปลาเหล่านี้มีไหมหนอ จึงประกาศขึ้นสามครั้งเมื่อไม่เห็นเจ้าของ จึงคาบปลายเถาวัลย์นำไปเก็บไว้ในพุ่มไม้อันเป็นที่อยู่ของตน คิดว่าเราจักกินเมื่อถึงเวลาจึงนอนนึกถึงศีลของตนอยู่
ฝ่ายสุนัขจิ้งจอกออกเที่ยวแสวงหาเหยื่อ ได้เห็นเนื้อย่าง เหี้ยหนึ่งตัว และหม้อนมส้มหนึ่งหม้อ ในกระท่อมของคนเฝ้านาคนหนึ่งคิดว่า เจ้าของของสิ่งนี้มีอยู่หรือไม่หนอ จึงร้องประกาศขึ้นสามครั้งไม่เห็นเจ้าของ จึงสอดเชือกสำหรับหิ้วหม้อนมส้มไว้ที่คอ เอาปากคาบเนื้อย่างและเหี้ย นำไปเก็บไว้ในพุ่มไม้เป็นที่นอนของตนคิดว่าจักกินเมื่อถึงเวลา จึงนอนนึกถึงศีลของตนอยู่
ฝ่ายลิงเข้าไปยังไพรสณฑ์นำพวงมะม่วงมาเก็บไว้ในพุ่มไม้เป็นที่อยู่ของตน คิดว่าจักกินเมื่อถึงเวลาจึงนอนนึกถึงศีลของตน
ส่วนพระโพธิสัตว์(กระต่าย) คิดว่าพอถึงเวลาจักออกไปกินหญ้าแพรก จึงนอนอยู่ในพุ่มไม้เป็นที่อยู่ของตน คิดอยู่ว่าเราไม่อาจให้หญ้าแก่พวกยาจกผู้มายังสำนักของเรา แม้งาเละข้าวสารเป็นต้นของเราก็ไม่มี ถ้ายาจกจักมายังสำนักของเราไซร้ เราจักให้เนื้อในร่างกายของเรา
ด้วยเดชแห่งศีลของกระต่ายพระโพธิสัตว์นั้น ภพของท้าวสักกะได้แสดงอาการเร่าร้อน ได้ยินมาว่าภพนั้นเป็นภพร้อน เพราะท้าวสักกะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ หรือเมื่อสัตว์อื่นผู้มีอานุภาพมากปรารถนาสถานที่นั้นหรือด้วยเดชะแห่งศีลของสมณพราหมณ์ผู้ตั้งอยู่ในธรรม ในกาลนั้น ภพของท้าวสักกะได้เร่าร้อน เพราะเดชแห่งศีล ท้าวสักกะนั้นทรงรำพึงอยู่ ทรงทราบเหตุนั้นแล้วจึงทรงดำริว่า เราจักทดลองพระยากระต่ายดู จึงครั้งแรกเสด็จไปยังที่อยู่ของนาก ได้แปลงเพศเป็นพราหมณ์ยืนอยู่ เมื่อนากกล่าวว่า พราหมณ์ ท่านมาเพื่อต้องการอะไร
จึงตรัสว่าท่านบัณฑิต ถ้าข้าพเจ้าพึงได้อาหารบางอย่าง จะเป็นผู้รักษาอุโบสถกระทำสมณธรรม นากนั้นกล่าวว่า ดีละข้าพเจ้าจักให้อาหารแก่ท่านเมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะนั้น จึงกล่าวคาถาที่หนึ่งว่า "ปลาตะเพียนของเรามีอยู่เจ็ดตัว ซึ่งนายพรานเบ็ดตกขึ้นจากน้ำเก็บไว้บนบก ดูก่อนพราหมณ์ ข้าพเจ้ามีสิ่งนี้อยู่ ท่านจงบริโภคสิ่งนี้แล้วอยู่ในป่าเถิด"
เจดีย์อภัยคีรี เมืองอนุราธปุระ ศรีลังกา
พราหมณ์กล่าวว่าเรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจักรู้ภายหลังแล้วไปยังสำนักของสุนัขจิ้งจอก แม้เมื่อสุนัขจิ้งจอกกล่าวว่าท่านยืนอยู่เพื่อต้องการอะไร ก็ได้กล่าวเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ
สุนัขจิ้งจอกกล่าวว่า ดีละข้าพเจ้าจักให้เมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะนั้นจึงกล่าวคาถาที่สองว่า"อาหารของคนรักษานาคนโน้น ข้าพเจ้านำเอามาไว้ในตอนกลางคืน คือเนื้อย่าง เหี้ย และนมส้ม ดูก่อนพราหมณ์ข้าพเจ้ามีอาหารสิ่งนี้อยู่ ท่านจงบริโภคอาหารสิ่งนี้ แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด"
พราหมณ์กล่าวว่าเรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจักรู้ภายหลังจากนั้นจึงไปยังสำนักของลิง แม้เมื่อลิงนั้นกล่าวว่าท่านยืนอยู่เพื่อต้องการอะไร จึงกล่าวเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ ลิงกล่าวว่าดีจะข้าพเจ้าจักให้ เมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะนั้น จึงกล่าวคาถาที่สามว่า "ผลมะม่วงสุก น้ำเย็น ร่มเงาอันเย็นเป็นที่รื่นรมย์ใจ ดูก่อนพราหมณ์ข้าพเจ้ามีอาหารอย่างนี้ ท่านจงบริโภคอาหารนี้แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด"
พราหมณ์กล่าวว่า เรื่องนี้จงยกไว้ก่อนเถิด ข้าพเจ้าจักรู้ในภายหลัง แล้วไปยังสำนักของสสบัณฑิต แม้เมื่อสสบัณฑิตนั้นจึงถามว่าท่านมาเพื่ออะไร ก็กล่าวเหมือนกับพูดกับทั้งสามก้อนหน้านั่นเอง กระต่ายพระโพธิสัตว์ได้ฟังดังนั้นก็มีความชื่นชมโสมนัส กล่าวว่าดูก่อนพราหมณ์ ท่านมายังสำนักของเราเพื่อต้องการอาหาร ได้ทำดีแล้ววันนี้ข้าพเจ้าจักให้ทานที่ยังไม่เคยให้ ก็ท่านเป็นผู้มีศีลจักไม่ทำปาณาติบาต ท่านจงไปรวมไม้ฟืนนานาชนิดมาก่อถ่านไฟแล้วจงบอกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจักเสียสละตนโดดลงในกลางถ่านไฟ เมื่อร่างกายของข้าพเจ้าสุกแล้วท่านพึงกินเนื้อแล้วกระทำสมณธรรม เมื่อจะเจรจากับท้าวสักกะนั้นจึงกล่าวคาถาที่สี่ว่า "กระต่ายไม่มีงา ไม่มีถั่ว ไม่มีข้าวสาร ท่านจงบริโภคเราผู้สุกด้วยไฟนี้แล้วเจริญสมณธรรมอยู่ในป่าเถิด"
ท้าวสักกะได้ทรงสดับถ้อยคำของสสบัณฑิตนั้นแล้ว จึงเนรมิตกองถ่านเพลิงกองหนึ่งด้วยอานุภาพของตน แล้วบอกแก่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์นั้นลุกขึ้นจากที่นอนหญ้าแพรกของตนแล้วไปที่กองถ่านเพลิงนั้น คิดว่าถ้าสัตว์เล็ก ๆ ในระหว่างขนของเรามีอยู่ สัตว์เหล่านั้นอย่าตายด้วยเลย แล้วสบัดตัวสามครั้ง บริจาคร่างกายทั้งสิ้นในทานมุขปากทางของทาน กระโดดโลดเต้นมีใจเบิกบานกระโดดลงในกองถ่านเพลิงเหมือนพระยาหงส์กระโดดลงในกอปทุมฉะนั้น แต่ไฟนั้นไม่อาจทำความร้อนแม้สักเท่าขุมขนในร่างกายของพระโพธิสัตว์ได้เป็นเสมือนเข้าไปในห้องหิมะฉะนั้น ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์เรียกท้าวสักกะมากล่าวว่า พราหมณ์ ไฟที่ท่านก่อไว้เย็นยิ่งนักไม่อาจทำความร้อนแม้สักเท่าขุมขนในร่างกายของข้าพเจ้า นี่อะไรกัน
ท้าวสักกะตรัสว่า ท่านบัณฑิตเรามิใช่พราหมณ์ เราเป็นท้าวสักกะมาเพื่อจะทดลองท่าน พระโพธิสัตว์จึงบรรลือสีหนาทว่า ข้าแต่ท้าวสักกะพระองค์จงหยุดพักไว้ก่อนเถิด หากโลกสันนิวาสทั้งสิ้นจะพึงทดลองข้าพระองค์ด้วยทานไซร้ จะไม่พึงเห็นความที่ข้าพระองค์ไม่เป็นผู้ประสงค์จะให้ทานเลย
ลำดับนั้นท้าวสุกกะจึงตรัสกะพระโพธิสัตว์นั้นว่า "ดูก่อนสสบัณฑิตคุณของท่านจงปรากฏอยู่ตลอดกัปทั้งสิ้นเถิด แล้วทรงบีบบรรพตถือเอาอาการเหลวของบรรพต เขียนลักษณะของกระต่ายไว้ในดวงจันทร์" แล้วนำพระโพธิสัตว์มาให้นอนบนหลังหญ้าแพรกอ่อนในพุ่มไม้ป่านั้นนั่นแหละในไพรสณฑ์นั้นแล้วเสด็จไปยังเทวโลกของพระองค์ทีเดียว
บัณฑิตทั้งสี่นั้นพร้อมเพรียงบันเทิงอยู่พากันบำเพ็ญศีล รักษาอุโบสถกรรมแล้วไปตามยถากรรม
พระศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะประชุมชาดกในเวลาจบสัจจะคฤหบดีผู้ถวายบริขารทุกอย่างดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล นากในกาลนั้นได้เป็นพระอานนท์สุนัขจิ้งจอกได้เป็นพระโมคคัลลานะ ลิงได้เป็นพระสารีบุตร ท้าวสักกะได้เป็นพระอนุรุทธะ ส่วนสสบัณฑิตได้เป็นเราตถาคตฉะนี้แล
The Golden Temple Dambulla Srilanka
เริ่มต้นปีเถาะหรือปีกระต่ายหากตั้งจิตอธิษฐานเป็นเหมือนกระต่ายโพธิสัตว์พร้อมที่จะรักษาศีลอให้ทานได้ทุกเมื่อก็จะเริ่มการดำเนินชีวิตด้วยการบำเพ็ญบารมีตามแนวทางที่พระโพธิสัคว์เคยประพฤติปฏิบัติมา ซึ่งใช้เวลายาวนานกว่าจะถึงฝั่งแห่งความหวังได้ ปัจจุบันคนใจร้อนจะคิดหรือทำอะไรก็อยากจะให้เห็นผลทันตา แต่หากศึกษาปฏิปทาของพระพุทธเจ้าและเหล่าพุทธสาวกทั้งหลายแล้ว จะเห็นได้ว่างานทุกอย่างต้องใช้เวลาดังเช่นพระโพธิสัตว์เมื่อบำเพ็ญบารมีเพื่อจะเป็นพุทธเจ้านั้นก็ต้องใช้เวลายานานถึงสี่อสงขัยแสนกัปป์จึงสำเร็จได้ ในครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าก็ยังเคยกำเนิดเป็นกระต่ายเพื่อบำเพ็ญบารมี ปีนี้ปีกระต่ายใครจะดำเนินตามปฏิปทาตามแนวแห่งกระต่ายโพธิสัตว์นั้น ทำได้ทันทีในขณะที่เป็นมนุษย์นี่แหละไม่ต้องรอเกิดเป็นกระต่าย
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
01/01/54