ตามปกติมักจะได้ยินแต่แม่สอนลูกเพื่อให้เป็นคนดีมีคุณธรรม ลูกหลายคนได้ดีก็เพราะมีแม่คอยอบรมสั่งสอนมาดี ถ้าใครเกิดมามีแม่คอยสอนก็นับได้ว่าเกิดมาโชคดี แม่เป็นทั้งครูคนแรก เป็นทั้งบุรพเทพ เป็นทั้งพรหม เป็นได้ทั้งพระอรหันต์ของลูก แต่บางครั้งแม่อาจสอนได้เพียงความรู้ทางโลกเพื่อให้ลูกอยู่ในโลกมนุษย์ได้อย่างมีความสุขเท่านั้น แต่ไม่อาจสอนธรรมให้แก่ลูกได้ ต้องให้ลูกกลับมาสอนแทน แม่อาจเป็นครูสอนลูกและลูกอาจเป้นครูสอนแม่ก็ได้ โลกนี้มีความพิเศษที่ยากแก่การอธิบายอยู่มากมายหลายประการ
ในพระพุทธศาสนาพระเถระรูปหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความกตัญญูกตเวที รู้ว่ามารดามีพระคุณแล้วตอบแทนพระคุณของมารดา จนกระทั่งมารดาได้บรรลุคุณธรรมเข้าถึงความเป็นอุบาสิกาในพระพุทธศาสนา เล่ากันมาว่ามารดาพระสารีบุตรไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนา แต่ไปเลื่อมใสในศาสนาอื่น ทั้งๆที่พระลูกชายคือพระสารีบุตรได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าว่าเป็นเลิศกว่าสาวกทั้งหลายผู้มีปัญญา หากจะนับอันดับพระสารีบุตรก็มีปัญญามากเป็นรองเพียงพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น แต่อัครสาวกผู้เลิศด้วยปัญญาสอนคนอื่นให้บรรลุธรรมได้เป็นจำนวนมาก แต่สอนแม่ตนเองคนเดียวไม่ได้
จนกระทั่งพระสารีบุตรในเวลาใกล้จะนิพพานจึงกราบลาพระพุทธเจ้ากลับไปเยี่ยมบ้านเกิด ต้องการกลับไปนิพพานที่บ้านเกิดและต้องต้องการสอนแม่ให้หันมานับถือพระพุทธศาสนา พระสารีบุตรกลับไปพักที่นาลันทา ซึ่งสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยนาลันทา ปัจจุบันมีเจดีย์ที่บรรจุพระสารีริกธาตุของพระสารีบุตรบรรจุอยู่ภายใน
เมื่อทราบข่าวว่าลูกชายมาเยี่ยมบ้านเกิด แม่ก็มาหาพระลูกชายด้วยความดีใจ สอบถามสารทุกข์สุกดิบกันพอสมควรแล้วก็สนทนาธรรมกันต่อไป จากนั้นก็ลากลับ แม้ว่านางสารีมารดาของพระสารีบุตรจะไม่เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาแต่ก็ยังทำบุญคือการใส่บาตรนำอาหารมาถวายพระลูกชายตามปกติ เรียกว่าแม้ใจจะไม่ศรัทธาแต่ก็กระทำทางกายให้เป็นปกติ
จนในที่สุดนางสารีก็หันมานับถือพระพุทธศาสนา เพราะพระสารีบุตรลูกชายสอนให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ สิ่งที่เป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ในพระพุทธศาสนา นัยว่าก่อนที่พระสารีบุตรจะนิพพานนั้น นางสารีมารดาได้เข้าถึงธรรมะคือเป็นโสดาบัน นี่เป็นเรื่องที่ลูกชายสอนแม่ พระสารีบุตรนั้นมีปัญญามากสอนคนอื่นมามาก แต่สอนแม่ตนเองเกือบไม่ได้ แต่ก็ยังถือว่าสำเร็จเพราะสอนแม่ให้เป็นสัมมาทิฏฐิได้ก่อนที่ตัวเองจะนิพพาน
มารดาของพระสารีบุตรในอดีตเคยเกิดเป็นเปรต พระสารีบุตรต้องทำบุญอุทิศให้อดีตมารดา จนเปลี่ยนสภาวะจากเปรตมาเป็นเทพธิดา ดังข้อความที่ปรากฎในสาริปุตตเถรมาตุเปติวัตถุ ขุททกนิกาย เปตวัตถุ (26/99/136) ความว่าครั้งหนึ่งพระสารีบุตรเถระพบหญิงเปรตตนหนึ่งจึงสอบถามหญิงเปรตตนนั้นว่า “ดูกรนางเปรตผู้ผอมมีแต่ซี่โครง ท่านเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอม มีตัวสะพรั่งไปด้วยเส้นเอ็น ท่านเป็นใครหรือ มายืนอยู่ในที่นี้
นางเปรตนั้นตอบว่า “เมื่อก่อนดิฉันเป็นมารดาของท่าน ในชาติเหล่าอื่น ดิฉันเข้าถึงเปรตวิสัย เพรียบพร้อมไปด้วยความหิวและความกระหาย เมื่อถูกความหิวครอบงำแล้ว ย่อมกินน้ำลาย น้ำมูก เสมหะอันเขาถ่มทิ้งแล้ว และกินมันเหลว แห่งซากศพที่เขาเผาอยู่ที่เชิงตะกอน กินโลหิตของหญิงทั้งหลายที่คลอดบุตรและโลหิตแห่งบุรุษทั้งหลายที่ถูกตัดมือ เท้า และศีรษะที่เป็นแผล กินเนื้อ เอ็น และข้อมือข้อเท้าเป็นต้นของชายหญิง กินหนองและและเลือดแห่งปศุสัตว์และมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่อยู่อาศัย นอนบนเตียงของผู้ตาย ซึ่งเขาทิ้งไว้ในป่าช้า ลูกเอ๋ย ขอลูกจงให้ทาน แล้วอุทิศส่วนบุญมาให้แม่บ้าง ไฉนหนอ แม่จึงจะพ้นจากการกินหนองและเลือด
ท่านพระสารีบุตรเถระผู้มีจิตอนุเคราะห์ ได้ฟังคำของมารดาแล้ว จึงปรึกษากับท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ท่านพระอนุรุทธะ และท่านพระกัปปินะ แล้วให้สร้างกุฎีสี่หลัง ในทิศทั้งสี่แล้วถวายกุฎีเหล่านั้น ข้าวและน้ำแก่สงฆ์ อุทิศส่วนกุศลไปให้มารดา
ในทันใดนั้นเอง ข้าว น้ำและผ้า ก็บังเกิดเป็นวิบาก นี้เป็นผลแห่งทักษิณาภายหลังนางมีร่างกายบริสุทธิ์สะอาด นุ่งห่มผ้าอันมีค่ายิ่งกว่าผ้าแคว้นกาสี ประดับด้วยวัตถาภรณ์อันวิจิตรเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ
ท่านพระมหาโมคคัลลานเถระจึงถามว่า “ดูกรนางเทพธิดา ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก ส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ สถิตอยู่ดุจดาวประกายพฤกษ์ ท่านมีวรรณะเช่นนี้ เพราะกรรมอะไร อิฐผลย่อมสำเร็จแก่ท่านในวิมานนี้ เพราะกรรมอะไร และโภคะทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นที่รักแห่งใจ ย่อมบังเกิดแก่ท่านเพราะกรรมอะไร ดูกรนางเทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน เมื่อท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ อนึ่ง ท่านมีอานุภาพรุ่งเรืองและมีรัศมีกายสว่างไสวไปทั่วทุกทิศอย่างนี้ เพราะบุญอะไร
นางเทพธิดานั้นตอบว่า “เมื่อก่อน ดิฉันเป็นมารดาของท่านพระสารีบุตรเถระ ในชาติอื่นๆ เกิดในเปตวิสัย เพรียบพร้อมไปด้วยความหิวและความกระหาย เมื่อถูกความหิวครอบงำแล้ว จึงกินน้ำลาย น้ำมูก เสมหะอันเขาถ่มทิ้งไว้และกินมันเหลวแห่งซากศพที่เขาเผาอยู่บนเชิงตะกอน กินโลหิตของหญิงที่คลอดบุตรและโลหิตแห่งบุรุษทั้งหลายซึ่งถูกตัดมือ เท้า และศรีษะที่เป็นแผล กินเนื้อ เอ็น ข้อมือและข้อเท้าของชายหญิง กินหนองและเลือดของปศุสัตว์และมนุษย์ ดิฉันไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่อยู่อาศัย นอนบนเตียงของคนตาย ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า ดิฉันเป็นผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ บันเทิงอยู่ เพราะทานของท่านพระสารีบุตร ข้าแต่ท่านผู้เจริญดิฉันมาครั้งนี้ เพื่อจะไหว้ท่านสารีบุตรผู้เป็นนักปราชญ์ มีความกรุณาในโลก”
การเกิดเป็นเปรตและเทวดานั้นเกิดได้ด้วยผลของผลและบาปและบุญ เรียกว่าโอปปาติกะ คือเกิดผุดขึ้นในทันใด ขนาดคนที่เคยเป็นแม่ของพระอัครสาวกยังเกิดเป็นเปรตได้ จะป่วยกล่าวไปไยถึงแม่คนอื่นๆเล่า หากทำบุญกุศลไว้มากก็จะไปเกิดในภพที่สูงขึ้นไปเช่นภูมิแห่งเทวดา พรหมโลกเป็นต้น แต่ถ้าทำบาปไว้ทางไปก็คืออบายภูมิซึ่งประกอบด้วยสัตว์ดิรัจฉาน นรก เปรต อสูรกาย
พระสารีบุตรท่านมองเห็นเปรตและเทวดาได้ แต่คนธรรมดาอย่างเราไม่มีตาทิพย์เหมือนท่าน อาจจะมีเปรตทั้งหลายกำลังขอส่วนบุญอยู่ข้างๆก็ได้ เพียงแต่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดังนั้นหากทำบุญแล้วอย่าลืมอุทิศส่วนกุศลไปให้กับเปรตทั้งหลายด้วย บางทีในเปรตเหล่านั้นอาจจะเคยเป็นแม่เรามาก่อนในอดีตชาติก็ได้
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
08/08/53