ฟังการบรรยายทั้งทางวิชาการ ธรรมะ บันเทิงตลอดสองวันที่ผ่านมาในงานสัมมนาพัฒนาศักยภาพบุคคลากร มมร เพื่อการเผยแผ่ศีลธรรมแก่สังคม งานวิชาการนั้นฟังได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่พอนั่งฟังการบรรยายธรรมะจากวิทยากรที่มีชื่อเสียงกลับมีความรู้สึกว่าตนเองโง่เสียถนัด ทั้งๆที่สิ่งที่วิทยากรพูดนั้นเรารู้มาหมดแล้ว แต่ทำไมเวลาคนอื่นพูดกลับมีความรู้สึกว่าฟังง่ายเข้าใจง่าย แต่พอตัวเองนำไปพูดทำไมพูดได้แต่ไม่ค่อยดี ส่วนที่ดีกลับพูดไม่ได้
การอธิบายธรรมแบบชาวบ้านฟังง่ายน่าปฏิบัติตาม อีกทั้งมีความสนุกเพลิดเพลินไปด้วย ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะวิทยากรพวกนี้ไม่ต้องกังวลเรื่องของการปฏิบัติ คือจงทำตามที่ข้าพเจ้าพูด แต่อย่าทำตามที่ข้าพเจ้าทำ พูดแล้วก็แล้วกันไป ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะปฏิบัติตามที่ตนเองพูดหรือไม่ แต่พระภิกษุมีมุมมองต่างกันคือต้องทำได้อย่างที่พูด และต้องพูดอย่างที่ทำ เมื่อมีกรอบอย่างนี้บางอย่างจึงพูดไม่ได้ เลยมีผลทำให้เนื้อหาหนักเกินไปไม่มีความเพลิดเพลินอยู่ด้วย หรือหากจะเพลิดเพลินก็มีขอบเขต การบรรยายธรรมของพระภิกษุและฆราวาสจึงมีจุดยืนต่างกัน
พันเอกนายแพทย์พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณาวิทยากรบรรยายหัวข้อ “ธรรมะกับชีวิต” พูดอยู่เสมอตลอดการบรรยายว่าผมได้สนทนากับพระพุทธเจ้าแล้ว พระองค์บอกผมมา เช่นการบรรยายช่วงหนึ่งว่า “ผมถามองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “ทำไมมนุษย์จึงต้องมีทุกข์ครับ”
องค์สัมมาสัมพุทธเจ้าตอบผมว่า “คำว่าทุกข์มีอยู่ในมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าจะเกิดมาสูง ต่ำ ดำ ขาว รวยจน ทุกคนต้องมีทุกข์ ถ้าเรียกว่ามนุษย์แล้วละก็ไม่มีใครไม่มีทุกข์หรอกนะ ส่วนใหญ่การมีทุกข์มาจากรรม อีกส่วนหนึ่งก็เป็นการทดสอบของฟ้า กรรมถ้าเกิดขึ้นเจ้ายอมรับและชดใช้ กรรมนั้นก็จะหมดไป อย่าคิดหนีกรรมหนีไม่พ้นหรอก ถ้าเจ้าไม่อยากชดใช้กรรมที่ตนเองได้ทำลงไป มนุษย์ก็ต้องหาอย่างอื่นมาชดใช้หนี้กรรมแทน”คำถามเดียวกันหากเปลี่ยนผู้บรรยายเป็นพระภิกษุจะใช้วิธีการแบบนี้ไม่ได้ เพราะเป็นการเสี่ยงต่อการผิดวินัยข้อห้ามอย่างร้ายแรง แต่ฆราวาสไม่มีวินัยบังคับไว้จึงใช้วิธีการแบบนี้ได้
คำถามเดียวกันนี้หากไปถามหลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง ท่านก็จะตอบว่า “ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์ยืดเพราะอยาก ทุกข์มากเพราะพลอย ทุกข์น้อยเพราะหยุด ทุกข์หลุดเพราะปล่อย” จากนั้นคุณหมอก็บรรยายเรื่องทุกข์ต่อไปอีกนาน
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่คุณหมอได้บรรยายต่อหน้าคนฟังเจ็ดร้อยคน ในจำนวนนั้นมีพระภิกษุอยู่ด้วยประมาณสองร้อยรูป ส่วนหนึ่งเป็น อาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย มีวุฒิปริญญาเอกทางพระพุทธศาสนา ปรัชญาอีกไม่น้อยกว่าสามสิบรูป เนื้อหาในการบรรยายวันนี้ส่วนหนึ่งมาจากหนังสือ “สนทนากับองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า”โดยพันเอกนายแพทย์พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา ใครจะไปหาซื้ออ่านไม่แน่ใจว่ามีขายตามร้านหนังสือทั่วไปหรือยัง เพราะหนังสือพึ่งพิมพ์ครั้งที่สองเสร็จเดือนกรกฎาคมนี่เอง บรรยายจบขายหนังสือไปด้วย เป็นอาชีพที่น่าทำอีกอาชีพหนึ่ง แต่น่าจะทำได้เฉพาะบางคนเท่านั้น
ภาคเช้าฟังเรื่องของวิชาการ ภาคบ่ายฟังการบรรยายธรรมะโดยวิทยากรที่เป็นฆราวาส พอถึงภาคเย็นฟังวิชาการต่อ งานสัมมนาเริ่มตอนแปดโมงเช้า เลิกตอนสี่ทุ่ม ผู้เข้าร่วมสัมมนาเป็นบุคคลากรของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยจากทุกวิทยาเขตทั่วประประเทศประมาณ 700 รูป/คน มีทั้งพระภิกษุและฆราวาส จัดขึ้นที่ศาลายา จังหวัดนครปฐม
บางครั้งสิ่งเราคิดว่าเรารู้ แต่ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นฟังได้ แต่เมื่อฟังคนอื่นบ้างก็จะได้รู้ว่าเขารู้อะไรบ้าง ความรู้มีมาได้จากทุกที่ แต่การปฏิบัติเป็นเรื่องเฉพาะตัวบุคคล ความรู้จากตำราหาอ่านได้ไม่ยากแต่ความรู้ที่เกิดจากภายในต้องเกิดความพุทธิปัญญาและการสั่งสมบ่มบารมีธรรมะของแต่ละคน ความทุกข์ก็เฉกเช่นเดียวกัน มนุษย์ทุกคนมีทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น แต่จะน้อยหรือมากนั้นขึ้นอยู่กับตัณหา(ความอยาก)ของแต่ละคน เหมือนกับที่หลวงพ่อชา สุภัทโทสรุปไว้ได้ชัดเจนว่า “ทุกข์มีเพราะยึด ทุกข์ยืดเพราะอยาก ทุกข์มากเพราะพลอย ทุกข์น้อยเพราะหยุด ทุกข์หลุดเพราะปล่อย” ไปขยายความต่อเอาเอง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
22/07/53