หากจะวิ่งตามเทคโนโลยีในปัจจุบันต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ที่ปัจจุบันได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในชีวิตไปแล้ว คิดดูเถิดว่าตอนเช้าออกจากบ้านไปทำงานหากลืมโทรศัพท์มือถือจะทำอย่างไร ชีวิตคงเหมือนขาดอวัยวะไปสักอย่าง มือถือจึงแทบจะกลายเป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของมนุษย์ไปแล้ว
หากย้อนกลับไปสักสิบปี คนที่จะมีโทรศัพท์มือถือได้ ต้องเป็นคนที่ค่อนข้างจะมีเงิน เพราะในยุคนั้นเครื่องหนึ่งราคาเป็นหมื่นบาทขึ้นไป แต่ปัจจุบันราคาถูกมาก ใครไม่มีโทรศัพท์มือถือแทบจะเป็นคนตกยุค
พอมาถึงอินเทอร์เน็ตในช่วงสองสามปีมานี้ได้รับการพัฒนาความเร็วขึ้นมาก จากที่เคยใช้ในที่ทำงานหรือที่บ้านก็ได้รับการพัฒนามาอยู่บนมือถือ ไปไหนมาไหนก็มีคนใช้อินเทอร์เน็ตทางมือถือกันมากขึ้น
โทมัส แอล ฟรีดแมน เขียนไว้ในหนังสือ “The World is Flat” พูดถึงคนในยุคนี้ไว้ว่า “ในโลกยุคโลกาภิวัตน์จะทำให้คนจำนวนมากสามารถเสียบปลั๊กและใช้งานคอมพิวเตอร์ได้ทันที และคุณจะได้เห็นผู้คนทุกสีผิวมีส่วนร่วมในการผลักดันกระแสโลกาภิวัตน์” ปัจจุบันไม่ต้องเสียบปลั๊กแล้วเพราะใช้เพียงแบตเตอร์รี่ก้อนเล็กๆก็สามารถใช้งานได้หลายชั่วโมง สิ่งที่จะเปลี่ยนโลกแม้เขาจะนำเสนอไว้ถึงสิบประการแต่สรุปได้จริงๆเพียงสามอย่างคือ เทคโนโลยีดิจิตอล เทคโนโลยีสารสนเทศ และอินเตอร์เน็ต ทั้งสามอย่างนั้นเป็นสิ่งที่แทรกเข้ามาในการดำเนินชีวิตของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในญี่ปุ่นมีโรคชนิดหนึ่งเรียกว่า ฮิคิโคโมริ ซินโดรม หมายถึงคนที่แยกตัวออกจากสังคม เก็บตัวอยู่เฉพาะในห้องส่วนตัว หรือในบ้าน เป็นแรมเดือนหรือแรมปี นักวิชาการเชื่อกันว่าฮิคิโคโมริเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม เกิดขึ้นที่ญี่ปุ่นมาหลายปีแล้ว เพราะเด็กญี่ปุ่นไม่ยอมรับวิถีชีวิตในสังคมของคนส่วนใหญ่ เขาจึงกำหนดตนเองเป็นฮิคิโคโมริ เขาพอใจชีวิตที่เป็นและไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ผลเสียก็คือ เมื่อใช้ชีวิตคนเดียวนานๆ ก็จะทำขาดทักษะในการเข้าสังคมกับคนส่วนใหญ่ เรียกว่าเข้ากับใครเขาไม่ได้
ปัจจุบันโรคนี้ได้ระบาดไปหลายประเทศ เพราะอินเทอร์เน็ตให้คำตอบกับคนกลุ่มนี้ได้ ทำให้ปลีกตัวออกจากสังคม ไม่อยากพบคนในสังคมจริง ชีวิตจึงอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ในโลกเสมือนจริง พอถึงเวลาที่ต้องพบกับคนจริงๆทำให้ปรับตัวลำบาก ในประเทศไทยมีคนเป็นโรคนี้มากขึ้นโดยเฉพาะเด็กๆที่ชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ จนทำให้เสียการเรียนและอาจจะมีผลก่อให้เกิดอาชญากรรมต่างๆตามมา
ในพระพุทธศาสนาได้แสดงคำสอนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของจิตเร็วมาก จนหาคำเปรียบเทียบไม่ได้ ดังที่ปรากฎในอังคุตตรนิกาย เอกนิบาต (๒๐/๔๙/๘)ว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่เปลี่ยนแปลงได้เร็วเหมือนจิต จิตเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าใดนั้น แม้จะอุปมาก็กระทำได้มิใช่ง่าย”
คนที่มีจิตกลับกอกมีความไม่แน่นอนไม่น่าคบหา ดังที่พ่อได้สอนลูกชายเกี่ยวกับการคบคนไว้ในอรัญญ ชาดก ขุททกนิกาย ชาดก (๒๗/๖๙๓/๑๕๘) ว่า “ลูกเอ๋ย คนที่มีจิตเหมือนน้ำย้อมขมิ้น มีจิตกลับกลอก รักง่ายหน่ายเร็ว เจ้าอย่าคบหาคนเช่นนั้นเลย ถึงหากว่า พื้นชมพูทวีปทั้งหมดจะไม่มีมนุษย์ก็ตาม” คนที่มีจิตกลับกลอกรักง่ายหน่ายเร็ว จึงเป็นคนที่ไม่น่าคบหาสมาคมด้วย เพราะวันนี้รัก พรุ่งนี้อาจชังเราก็ได้ วันนี้รักพรุ่งนี้ร้าย ใครจะรู้
จิตจึงเป็นธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก การควบคุมจิตได้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมดังที่แสดงไว้ในมงคลสูตร ขุทกปาฐะ (๒๕/๖/๓) ตอนหนึ่งว่า “จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ปราศจากธุลี เป็นจิตเกษม เป็นอุดมมงคล” แต่จะมีใครสักกี่คนที่ไม่หวั่นไหวตามกระแสของโลก นอกจากพระอรหันต์ เราท่านทั้งหลายที่ยังเป็นปุถุชนก็ต้องพยายามพากเพียรฝึกจิตเข้าไว้อย่าหวั่นไหวปล่อยใจไปตามกระแสเทคโนโลยีมากนัก
เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไวมาก แต่ว่าจิตใจของมนุษย์เปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่า หากไม่ยับยั้งชั่งใจวิ่งตามให้ทันกับกระแสแห่งเทคโนโลยีแล้วอาจจะมีผลร้ายตามมาเหมือนกับที่พระพุทธพจนวราภรณ์(จันทร์ กุสโล)ได้เขียนเป็นคติเตือนใจไว้น่าคิดว่า “ยินดีในสิ่งที่ตนได้ พอใจในสิ่งที่ตนมี เป็นเศรษฐีในเรือนยาจก”
พระพุทธไสยาสน์เจาทัตยีหรือที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่าหลวงพ่อตาหวาน เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมาร์ มองดูมนุษย์ด้วยความเมตตาสงสาร คนสร้างท่านขึ้นมาแล้วทำนัยน์ตาของท่านให้หวานหยาดเยิ้มปานนั้น ดูเอาเถอะแม้แต่พระพุทธรูปยังสร้างตามกิเลสมนุษย์ พุทธรูปตัวแทนพระพุทธเจ้าผู้สิ้นกิเลสแล้วแท้ ๆ ยังอุตส่าห์สร้างให้ท่านตาหวานได้
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
เรียบเรียง
๑๐/๐๒/๕๓