การที่จะรู้ตัวว่าเริ่มเป็นคนแก่หรือไม่นั้น คนโบราณมีสุภาษิตพูดติดปากว่า “ชอบของขม ชมเด็กสวย ช่วยศาสนา บ้าของเก่า เล่าความหลัง” ใครที่กำลังตกอยู่ในภาวะแบบนี้แสดงว่าความชราเริ่มมาเยือนแล้ว คนโบราณช่างรู้จักหาถ้อยคำบรรยายถึงสภาวธรรมได้ดีแท้ อย่างหนึ่งคงกำลังเป็นโรคเบาหวานจึงชอบกินของขมซึ่งโบราณถือว่าเป็นยา เด็กๆนั้นถึงอย่างไรก็น่ารักเพราะมีความบริสุทธิ์ คนส่วนหนึ่งเริ่มหันหน้าเข้าหาศาสนาเมื่อมีอายุมากแล้วเพราะต้องหาที่พึ่งในยามจาก ส่วนเรื่องการเล่าความหลังนั้นเป็นคุณสมบัติตามปกติของคนมีอายุมาก เพราะมองไปข้างหน้ารู้สึกหมดหวัง ต้องมองย้อนหลังถึงจะมีความสุข
นานมาแล้วลุงมีแวะมาหาได้สาธยายความหลังให้ฟังว่า “ชีวิตผมเริ่มต้นเมื่ออายุหกสิบปี เมื่อสามสิบปีที่แล้วผมไม่เคยคิดว่าจะได้ดูโทรทัศน์ ซึ่งมีทั้งภาพและเสียง ก่อนหน้านั้นฟังข่าวสารจากวิทยุอย่างเดียว คนพูดและคนฟังไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน วันหนึ่งมีคนนำโทรทัศน์มาใช้ที่หมู่บ้านนั้น นับว่าเป็นโทรทัศน์เครื่องแรกที่ได้เห็น ผมยังจำได้ไม่ลืม ไฟฟ้าที่ใช้ก็มาจากเครื่องปั่นไฟ เพราะในยุคนั้นยังใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าซมีเปลวควันสีดำลอยอ้อยอิ่ง เพดานบ้านแต่ละหลังจึงมักจะมีสีดำ
ครั้งแรกที่เข้ามากรุงเทพนั้นผมจำได้ว่าคิดอะไรไม่ออก เพราะมาโดยไม่รู้จักใคร ความรู้ชั้น ป.4 เป็นที่ต้องการของโรงงานต่างๆมาก ไม่เหมือนพวกที่จบชั้น ม.ศ.3 ขึ้นไปที่หาคนจ้างไม่ค่อยได้ โรงงานหลายแห่งอ้างว่าคนพวกนี้หัวรุนแรงมักจะชักชวนให้คนงานอื่นๆหยุดงาน ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ยิ่งไม่มีความรู้อะไรยิ่งดีเพราะคนพวกนี้มักจะไม่ค่อยมีปัญหาทำงานอย่างเดียว อีกอย่างค่าจ้างก็ถูกด้วย นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อสามสิบปีที่ผ่านมา
ในยุคนั้นดูเหมือนว่าโลกจะกว้างใหญ่ไพศาลมาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกซีกโลกหนึ่งบางครั้งใช้เวลานานหลายเดือนกว่าจะได้รับรู้ ซึ่งก็มีอยู่ไม่กี่ทางเช่นหนังสือพิมพ์ วิทยุ และโทรทัศน์ ยิ่งหากนับถอยหลังไปอีกก็ต้องบอกว่าข่าวจะมากับลม คนในภาคเหนืออีสานส่วนหนึ่งจะรับรู้เรื่องร้ายๆจากกระแสลม ซึ่งจะหอบข่าวมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรง แม้ข่าวแผ่นดินไหวหรือสึนามิก็สัมผัสรับรู้ได้จากอาการทุรนรายของสัตว์ต่างๆเช่นช้าง ปลาเป็นต้น
ผมทิ้งชีวิตในบ้านเกิดหันมาใช้ชีวิตในกรุงเทพมหานครติดต่อกันถึงสามสิบปี จนปัจจุบันได้กลายเป็นคนกรุงเทพไปโดยปริยาย แต่ก็ยังกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดซึ่งไม่เหลือสมบัติอะไรไว้แล้ว มีเพียงญาติพี่น้องบางคนที่ยังใช้ชีวิตในชนบท
ปัจจุบันหากอยากรู้ข่าวสารก็เพียงแต่เปิดคอมพิวเตอร์และดูข่าวสารจากอินเทอร์เน็ตซึ่งผมติดให้หลานสาวสามคนวัย 12- 15-17 ปี หลานสาวสามคนพยายามสอนผมให้ใช้คอมพิวเตอร์ซึ่งตอนแรกก็มีความยุ่งยากพอสมควร แต่เมื่อนานวันเข้าเริ่มมีความชำนาญในการใช้มากยิ่งขึ้น ข่าวสารต่างๆจึงรับรู้ได้ทันท่วงที เหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในอีกขั้วโลกที่อยู่ห่างกันหลายพันไมล์ แต่สามารถรับรู้ได้ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที โอ้..อินเทอร์เน็ตสิ่งมหัศจรรย์ของโลก
ความคิดที่เคยเชื่อว่าโลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลนัก ไม่มีทางที่จะเดินทางไปได้ถึงในชีวิตนี้ แต่ปัจจุบันกลับได้เห็นเกือบทุกอย่างที่อยากเห็นแม้ยังไม่ได้เดินทางไปจริงๆ แต่ก็เหมือนกับได้ไปจริงๆในโลกไซเบอร์ ดูเหมือนว่าโลกยิ่งกว้างทางเดินกลับแคบลง
หลวงตาจึงเอ่ยขึ้นว่า "การทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งต้องเริ่มต้นแต่ยังหนุ่ม เก็บเงินไว้ใช้ในยามชรา ถ้าไม่มีอะไรเลยก็เหมือนกับนกกระเรียนแก่ที่ไม่มีแรงหาอาหาร ดังที่พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบไว้ในขุททกนิกาย ธรรมบท(25/21/25)ว่า"พวกคนเขลาไม่ศึกษาเล่าเรียน(ประพฤติพรหมจรรย์)ไม่ได้หาทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมซบเซาดังนกกะเรียนแก่ ซบเซาอยู่ในเปือกตมที่หมดปลา เขาย่อมนอนทอดถอนถึงทรัพย์เก่า เหมือนลูกศรที่ตกจากแหล่งฉะนั้น."
คนแก่ที่ไม่มีการศึกษา ไม่มีทรัพย์ก็ไม่ต่างอะไรกับนกกระเรียนแก่ คิดถึงแต่อดีตที่ไม่อาจจะนำกลับคืนมาได้ ชีวิตต้องก้าวต่อไปไยต้องเศร้าโศกเสียดายกับสิ่งที่เป็นอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วเล่า
พระพุทธเจ้าสอนมิได้สอนให้ศึกษาออกนอกกาย แต่สอนให้มนุษย์ย้อนกลับมาศึกษาภายในกายมนุษย์เองคือ กาย เวทนา จิต ธรรม เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งสี่ประการนี้ก็เข้าใจโลก ฟังดูเหมือนกับจะขัดแย้งกับความเจริญของโลก แต่นี่คือความจริงแท้ตามนัยที่แสดงไว้ในมหาสิตปัฏฐานสูตร ทีฆนิกาย มหาวรรค (10/273/216) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอกเพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ เพื่อความดับสูญ แห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานหนทางนี้ คือสติปัฏฐานสี่ประการคือ (1)ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ (2)พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ (3) พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ (4)พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้
ลุงมีนั่งฟังอย่างสนใจก่อนจะเอ่ยออกมาอีกว่า “ถ้าผมเกิดช้าอีกสักสามสิบปีคงได้เรียนในชั้นสูงกว่านี้ เสียดายตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องการเรียนเลย มัวแต่ทำงานหาเงิน ซึ่งเงินนั้นใช้ไม่นานก็หมดแต่ความรู้ไม่มีวันหมดยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มขึ้น”
“เรียนตอนแก่ก็ไม่สายเกินไปหรอกยังมีคนมีอายุหลายคนที่เรียนจบมหาวิทยาลัยตอนอายุแปดสิบปี” หลวงตาเอ่ยขึ้น
จากนั้นมาอีกหลายปีก็ไม่ได้พบกับลุงมีอีกเลย วันหนึ่งลุงมีได้มาเยี่ยมพร้อมกับนิมนต์ให้ไปร่วมงานรับปริญญา ลุงมีเรียนจบปริญญาตรีตอนอายุเจ็ดสิบห้าปี “ผมเรียนแข่งกับหลานสาว ตอนแรกเรียนการศึกษานอกระบบ จากนั้นเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเปิด ในขณะที่หลานสาวคนโตเรียนในมหาวิทยาลัยของรัฐ ผมและหลานสาวจบปริญญาตรีพร้อมกัน เห็นไหมว่าผมเรียนจบก่อนคนที่หลวงตาเคยบอกตั้งห้าปี ตอนนี้ผมสมัครเรียนปริญญาโท ถ้ายังไม่ตายก่อนคาดว่าจะเรียนจนถึงปริญญาเอกครับ ให้คนเรียกว่า ดร.มี คงโก้ดี”
สุภาษิตประเทศไหนไม่รู้ที่บอกว่า “ไม่มีใครแก่เกินเรียน” ใช้ได้จริงๆ หากมีความตั้งใจอายุมิใช่สิ่งที่เป็นปัญหา ส่วนหนุ่มสาวที่ยังมีโอกาสเรียนควรเรียนจนถึงที่สุด ชีวิตเกิดมาเพื่อการศึกษาเรียนรู้ ขึ้นอยู่กับว่า เราจะฉกฉวยโอกาสนั้นไว้ได้หรือไม่
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
19/05/53