อินโดนีเซียได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีประกรมากเป็นอันสี่ของโลก ข้อมูลปัจจุบันระบุว่ามีประชากรมากกว่าสองร้อยล้านคน มีเกาะแก่งอีกมากมาย มีคนนับถือศาสนาอิสลามมากที่สุดในโลก ฟังจากข้อมูลเบื้องต้นแล้ว สำหรับชาวพุทธจึงไม่น่าจะเดินทางไปเยือนเลย แต่พอก้าวลงยังดินแดนแห่งนี้ความคิดเดิมต้องเปลี่ยนไป เพราะถึงแม้จะเป็นประเทศแห่งศาสนาอิสลาม แต่คนที่นี้ไม่ได้ปิดกั้นศาสนาอื่นๆ ยังคงมีคนยกมือไหว้และทักทายพระสงฆ์จากประเทศไทยแทบทุกแห่งที่เดินทางไป ฟังออกคำเดียวคือ “ภันเต” เท่านั้น ส่วนคำอื่นๆยังไม่คุ้นหู เราก็ได้แต่พยักหน้าพร้อมกับกล่าวคำที่ท่องไว้ก่อนออกเดินทางจากเมืองไทยว่า “เซลามัต ปากี” แปลว่าสวัสดีเวลาเช้า
วันแรกของการเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิมุ่งหน้าสู่สนามบินซูการ์โน ฮัตตา จากนั้นต่อเครื่องบินภายในประเทศไปยังเมืองย้อคจาการ์ต้า กว่าจะถึงที่พักก็ปาเข้าไปหกโมงเย็น เข้าที่พักต่างก็แยกย้ายเข้าที่พัก ณ ศูนย์สมาธิภันเตวิญญ์บรมพุทโธ ซึ่งอยู่ห่างจากบรมพุทโธประมาณสามร้อยเมตร ต่างก็พากันคิดว่ามาถึงที่นี่แล้วเดินทางไปเมื่อไรก็ได้
สมเด็จพระวันรัต
รุ่งเช้าฉันภัตตาหารเสร็จเดินทางไปยังวัดเมนดุตวัดพระพุทธศาสนาเถรวาทของคณะสงฆ์อินโดนีเซีย ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณยี่สิบนาที จากนั้นเข้าห้องประชุมร่วมกันระหว่างคณะสงฆ์ไทยโดยการนำของสมเด็จพระวันรัต รักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต และคณะสงฆ์อินโดนีเซียโดยมีพระศรี ปัญญาวโรมหาเถระสังฆปาโมกข์อินโดนีเซียเป็นประธาน การประชุมพูดสองภาษาคือภาษาไทยและภาษาอินโดนีเซีย โดยมีพระครูประกาศธรรมนิเทศ (วงศ์สิน ลาภิโก) ประธานคณะสงฆ์ไทยในอินโดนีเซียเป็นผู้แปลจากภาษาไทยเป็นภาษาอินโดนีเซียและจากอินโดนีเซียเป็นภาษาไทย เนื้อหาในการประชุมว่าด้วยความร่วมมือในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอินโดนีเซีย ซึ่งปัจจุบันมีทั้งพระภิกษุชาวอินโดนีเซียและพระธรรมทูตจากประเทศไทย
พระศรี ปัญญาวโร มหาเถระสังฆปาโมกข์อินโดนีเซีย และพระธรรมวราจารย์
วันแรกนี้ประชุมตลอดวัน ฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง เว็บมาสเตอร์ไซเบอร์วนารามทำหน้าที่บันทึกการประชุมทั้งถ่ายวีดีโอ ถ่ายภาพนิ่ง บันทึกเสียงการประชุม ตั้งใจว่าจะสรุปผลการประชุมโดยละเอียดเมื่อกลับถึงประเทศไทย
เลิกการประชุมเวลาประมาณห้าโมงเย็นตามโปรแกรมต้องเดินทางไปนมัสการมหาเจดีย์บรมพุทธโธ แต่เกิดฝนตกอย่างหนัก เรามัวแต่เก็บรวบรวมอุปกรณ์ ทำให้ไม่ทันรถ จึงได้เดินทางกลับที่พักประมาณสองทุ่ม สรุปว่าวันนี้ยังไม่ได้เห็นบรมพุทโธเลย มีแต่ผู้เข้าร่วมประชุมคนอื่นๆไป แต่ทราบว่าทัศนวิสัยไม่ค่อยดีนัก เราก็ตั้งใจว่าพรุ่งนี้คงมีโอกาสเดินทางไปในตอนเช้า
การกสังฆสภาสังฆเถรวาทอินโดนีเซีย
แต่พอรุ่งเช้ามาถึง กำหนดการต้องเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน เพราะต้องรีบออกเดินทางไปยังเมืองบันดุงซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปอีกมากโดยขึ้นเครื่องบินที่สนามบินนานาชาติอดิ สุคโตไปยังท่าอากาศยานฮูเซน ศาสตราเนการา เมืองบันดุง เพื่อประชุมคณะสงฆ์ไทยในอินโดนีเซียที่วัดวิปัสสนาคราหะ สิ่งที่ตั้งใจมาตั้งแต่เมืองไทยว่าถึงอย่างไรก็ขอให้ได้เห็นบรมพุทโธสักครั้งต้องพังทลายลง แต่เพื่อประโยชน์ของส่วนรวมก็ได้เก็บความเสียใจไว้ภายใน วันนั้นจึงเป็นการเดินทางที่ไม่ค่อยมีความสุขนัก ใจยังคิดถึงบรมพุทโธที่ค่อยๆกลายเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง ได้แต่พูดกับตัวเองในใจว่าคงมีบุญน้อยจึงไม่มีโอกาสได้เดินทางไปนมัสการมหาเจดีย์ของพระพุทธศาสนาที่เชื่อกันมีความเก่าแก่เป็นอันดับสามของโลก (อันดับหนึ่งชเวดากอง สองพระปฐมเจดีย์ สามบรมพุทโธ)
ผู้เข้าร่วมประชุมคณะสงฆ์ไทย-อินโดนีเซีย
ห้าวันแรกจึงเป็นการทำงานอย่างเดียวไม่มีโอกาสไปเที่ยวชมทัศนียภาพที่ไหนเลย สิ่งที่เห็นมีแต่ห้องประชุม การเดินทางไปอินโดนีเซียครั้งนี้ไปเพื่อทำงานจริงๆ ถึงห้าวันเต็มๆ พระเถระจากเมืองไทยเดินทางกลับประเทศไทยวันที่ 5 พฤษภาคม 2553 โดยสารการบินไทย เวลาประมาณ 12.30 น.
หลวงตาไซเบอร์หน้าพระเจดีย์โบโรบูดูร์(บรมพุทโธ)
หลวงตาไซเบอร์ตัดสินใจยกเลิกการเดินทางกลับประเทศไทย ตีตั๋วเครื่องบินภายในประเทศราคา 630,000 รูเปีย มุ่งหน้าสู่ย็อกจากาต้าร์เพื่อไปนมัสการเจดีย์บรมพุทโธ ไม่มีเพื่อนไม่รู้อนาคต ภาษาอินโดนีเซียไม่รู้เรื่อง พูดได้เพียงไม่กี่คำคือสวัสดี ขอบคุณ นี่อะไร ราคาเท่าไหร่ เท่านั้นเอง
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
10/05/53