แม้ว่าเรื่องของการเสียชีวิตจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับสัตว์โลก แต่หากคนที่เสียชีวิตเป็นคนที่เรารู้จัก เป็นคนที่เราเคารพแล้ว ย่อมจะต้องเกิดความโศก ความเศร้าใจบ้างเป็นธรรมดา มนุษย์ทุกคนเมื่อเกิดมาก็กำลังเดินเข้าสู่ความตายเฉกเช่นเดียวกัน มนุษย์ทุกคนหนีแก่มี่ได้ หนีตายไม่พ้น เพราะความตายคือสหายสนิทที่คอยตามติดทุกลมหายใจ จึงควรระวังสังวรไว้ว่าแม้ตัวเราเองก็จะต้องตายในวันใดวันหนึ่งเช่นเดียวกับคนอื่น เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด
เดือนพฤษภาคมอากาศร้อนเริ่มบรรเทาเบาบางลงบ้างแล้ว ต้นเดือนมีงานที่สำคัญหลายงาน หากเป็นช่วงเวลาปรกติก็เป็นช่วงแห่งวันวิสาขบูชา แต่ปีนี้เป็นปีที่มีอธิกมาส วันวิสาขบูชาจึงเลื่อนไปเป็นวันที่ 1 มิถุนายน 2558 เดือนนี้น่าจะเป็นเดือนแห่งความสุขของพุทธศาสนิกชน แต่ในเดือนพฤษภาคมปีนี้กลับกลายเป็นเดือนที่ชาวพุทธต้องเศร้าสลดเพราะต้องสูญเสียพระเถระที่สำคัญถึงสองรูปคือวันที่ 16 พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ) มรณภาพ ผ่านมาอีกเพียงสองวันคือวันที่ 18 พระธรรมเมธาภรณ์(ระแบบ ฐิตญาโณ) ก็มรณภาพละสังขารไปอีกรูป
หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ เป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงทางด้านวัตถุมงคล มีคำสอนที่เรียบง่ายตรงไปตรงมา สอนด้วยภาษาชาวบ้าน แต่หากพิจารณาให้ดีย่อมเกิดปัญญาได้ทันที ทำให้หลวงพ่อคูณมีคนรู้จักและโด่งดังไปทั่วโลก
กาลครั้งหนึ่งนานหลายปีมาแล้ว เมื่อครั้งที่หลวงพ่อคูณยังมีสุขภาพแข็งแรง เคยไปที่วัดบ้านไร่ วันนั้นหลวงพ่อคูณอยู่ที่วัด แต่ก็ยังมีพุทธศาสนิกชนเดินทางไปกราบหลวงพ่อพอสมควร เมื่อไปถึงกราบหลวงพ่อเสร็จหลวงพ่อบอกว่านิมนต์ฉันเพลด้วยกัน จึงไปรอหลวงพ่อที่ศาลาการเปรียญ
ไม่นานนักหลวงพ่อคูณก็เดินไปที่ศาลาโรงฉัน แต่ทว่าวันนั้นอาหารมีน้อยมาก แทบไม่น่าเชื่อว่าพระเกจิอาจารย์ชื่อดังระดับประเทศจะมีอาหารน้อยการฉันที่ค่อนข้างจะขัดกับชื่อเสียง คิดไว้ก่อนไปที่วัดบ้านไร่ว่าน่าจะมีคนศรัทธานำภัตตาหารมาถวายจำนวนมาก แต่ผิดคาดมีเพียงชาวบ้านสองสามคนเท่านั้น และอาหารในวันนั้น ก็แสนเรียบง่ายมีขนมจีน ก๋วยเตี๋ยว น้ำพริกปลาทู ข้าวต้มมัดและกล้วยอีกหนึ่งหวี
ได้เวลาฉันหลวงก็มานั่งร่วมวงกับพระภิกษุที่วันนั้นมีประมาณสี่ห้ารูป หลวงพ่อแบ่งปันส่งอาหารให้กับพระสงฆ์รูปอื่นๆ ส่วนตัวท่านฉันเพียงขนมจีน ข้าวต้มมัดและกล้วยอีกสองสามลูกเท่านั้น
ยังจำคำพูดที่หลวงพ่อพูดในช่วงฉันเพลได้ว่า “อย่าได้คาดหวังกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จงทำหน้าที่เท่าที่สามารถจะทำได้ กูก็ไม่ได้ชอบการสร้างวัตถุมงคลมากนักดอก แต่เมื่อคนเขาอยากได้ก็ไม่ว่ากัน อย่างน้อยวัตถุมงคลก็เป็นเครื่องเตือนใจไม่ให้คนทำชั่ว ช่วยส่งเสริมให้คนทำความดี แค่นี้ก็พอแล้ว ชีวิตกูคงอยู่ได้ไม่ถึงร้อยปี แต่คนเขาจะพูดถึงต่อไปอีกหลายร้อยปี เรื่องอาหารการฉันนั้นวันที่มีมันก็มี วันที่ไม่มีก็มี นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา”
ส่วนพระธรรมเมธาภรณ์(ระแบบ ฐิตญาโณ) นั้นเป็นอาจารย์ที่สอนวิชาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา พระเดชพระคุณไม่มีหนังสือ ไม่ถือตำรา เดินเข้าห้องเรียนได้ก็เริ่มบรรยายด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย บรรยายไปเรื่อยๆ หากใครมีปัญหาสงสัยตรงไหนก็สามารถยกมือขึ้นถามได้ทันที พระเดชพระคุณตอบคำถามได้แจ่มชัด โดยอิงอาศัยจากพระไตรปิฎก สอนจบก็เดินออกห้อง เข้าห้องบรรยายในอีกวิชาต่อไป
เจ้าคุณอาจารย์เคยบอกว่า “พระสงฆ์นั้นหากจะให้คนจดจำชื่อได้มีอยู่สามประเภทคือพระเกจิอาจารย์ พระนักก่อสร้าง และพระนักเขียน ในส่วนตัวผมชอบทางด้านการศึกษา ถนัดทางด้านการบรรยาย จึงพอมีตำหรับตำราอยู่บ้าง แต่หากจะนำไปใช้ในการอ้างอิงก็ควรจะตรวจสอบจากพระไตรปิฎกเสียก่อน บางทีผิดเล่ม ผิดหน้า อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ จะทำอะไรต้องมีหลัก อย่าทิ้งหลัก หลักที่สำคัญของชาวพุทธคือพระไตรปิฎก จะทำอะไรต้องไม่ให้ชัดกับหลักคำสอนที่ปรากฏในพระไตรปิฎก”
ครั้งหนึ่งเคยไปขอสัมภาษณ์เจ้าคุณอาจารย์ ท่านใช้วิธีสัมภาษณ์แบบบันทึกเสียงลงในแผ่นซีดี ท่านบอกว่า “คุณไปเปิดฟังเอาเองก็แล้วกัน ส่วนไหนที่ตรงกับเนื้อหาจึงนำไปใช้ ส่วนไหนที่ไม่ตรงก็ตัดทิ้งไป ก่อนกลับเจ้าคุณอาจารย์ได้มอบหนังสือและแผ่นซีดีข้อมูลการบรรยายรวมแล้วจำนวนสิบแผ่น คุณพิจารณาเอาเองก็แล้วกันว่าควรจะเผยแผ่อย่างไร ผมถนัดแต่พูดและบรรยาย แต่ไม่ค่อยถนัดทางด้านการนำเสนอบนสื่อสมัยใหม่ ผมคงตามความเจริญของโลกไม่ทันแล้ว”
เดือนพฤษภาคม 2558 วงการพระพุทธศาสนาก็ต้องจารึกถึงการสูญเสียพระเถระทั้งสองรูปที่มีเอกลักษณ์เด่นคนละด้าน รูปหนึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง อีกรูปหนึ่งเป็นนักพูด นักบรรยาย นักเผยแผ่ นักพิทักษ์และปกป้องพระพุทธศาสนา
แม้ว่าเรื่องของการพลัดพรากจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญสำหรับสัตว์โลก แต่ทว่าการสูญเสียพระเถระทั้งสองรูปในเวลาใกล้เคียงกันอย่างนี้ ก็ต้องขอแสดงความอาลัยอย่างยิ่ง สรรพสิ่งมีเกิด มีแก่ เจ็บ และตาย เป็นธรรมดา เป็นเหมือนห่วงโซ่แห่งจักรวาลที่คล้องโลกไว้แปรเปลี่ยนเวียนผันไปตามกาล ประดุจก้อนเมฆที่จับตัวลอยล่องไปบนเบื้องนภากาศ รอเวลาที่จะหยดหยาดเป็นสายฝนลงมายังพื้นปฐพี อีกไม่นานก็มีก้อนเมฆกลุ่มใหม่จับตัวเป็นเมฆกลุ่มใหม่อีกครั้ง ธรรมชาติเป็นไปดั่งนี้
ชีวิตมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกันมีเกิด แก่ เจ็บตาย ไปตามธรรมดา ชีวิตมีความตายเป็นที่สุด สมตามพุทธวจนะที่แสดงไว้ในอัยยิกาสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค (15/401/142) ความว่า “สพฺเพ สตฺตา มริสฺสนฺติ มรณนฺตํ หิ ชีวิตํ
ยถากมฺมํ คมิสฺสนฺติ ปุญฺญปาปผลูปคา
นิรยํ ปาปกมฺมนฺตา ปุญฺญกมฺมา จ สุคตึ
ตสฺมา กเรยฺย กลฺยาณํ นิจยํ สมฺปรายิกํ
ปุญฺญานิ ปรโลกสฺมึ ปติฏฺฐา โหนฺติ ปาณินนฺติ ฯ
แปลเป็นภาษาไทยได้ว่า “สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงต้องตาย เพราะชีวิตมีความตายเป็นที่สุด สัตว์ทั้งหลายจักไปตามกรรม เข้าถึงผลแห่งบุญและบาป คือ ผู้มีกรรมเป็นบาป จักไปสู่นรก ส่วนผู้มีกรรมเป็นบุญ จักไปสู่สุคติ
เพราะฉะนั้น พึงทำกรรมงามอันจะนำไปสู่สัมปรายภพ สั่งสมไว้ บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลายในปรโลก
พระเทพวิทยาคม (หลวงพ่อคูณ ปริสุทฺโธ) และพระธรรมเมธาภรณ์(ระแบบ ฐิตญาโณ) ได้ทิ้งร่างวางขันธ์ ละสังขารไปสู่ภพภูมิตามสมควรแก่กรรมที่พระเถระทั้งสองได้กระทำมาแล้ว ส่วนผู้ที่ยังมีลมหายใจอยู่ก็ต้องสู้กันต่อไป หมั่นทำกรรมดี สั่งสมบุญไว้เพื่อที่ว่าบุญจะได้เป็นที่พึ่งในปรโลก
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
18/05/58