ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

          ในบรรดาเมืองใหญ่ในอดีตที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นไอและบรรยากาศเก่าๆไว้อย่างเหนียวแน่น มีขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบต่อกันมานานหลายพันปี ผู้คนหลายรุ่นถือกำเนิดขึ้น  ดำรงอยู่และจากไป จำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน แต่ทว่าพวกเหล่าบันดาลูกหลานของคนเหล่านั้นยังคงสืบต่อประเพณีและวิถีปฏิบัติกันมาอย่างมั่นคง มีพิธีอาบน้ำชำระบาป มีพิธีเผาศพริมฝั่งแม่น้ำ มีโรงแรมสำหรับคนใกล้ตาย มานอนรอชีวิตช่วงสุดท้ายเพื่อที่จะได้เผาร่างวางวิญญาณริมฝั่งแม่น้ำที่พวกเขาเชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ เมืองนี้ยังคงมีเสน่ห์ที่ทำให้ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย ชื่อบ้านนามเมืองก็ยังคงเป็นเช่นเมื่อสี่พันปีก่อนไม่เคยเปลี่ยนแปลง เมืองนี้มีนามที่คนทั้งโลกรู้จักกันในชื่อ “พาราณสี”

          แม้ว่าเสียงในปัจจุบันจะฟังเหมือน “วาราณสี” แต่สำเนียงนั้นยังคงรักษาคำว่า “พาราณสี” เมืองโบราณที่เคยเจริญรุ่งเรืองในอดีต จากบันทึกของพระถังซำจั๋ง ได้บันทึกเกี่ยวกับเมืองพาราณสีไว้ตอนหนึ่งว่า “แคว้นพาราณสี มีเนื้อที่อาณาเขต 4000 ลี้โดยประมาณ ด้านตะวันตกของเมืองหลวงจดแม่น้ำคงคา ยาว 18-19 ลี้เศษ กว้าง 5-6 ลี้ (หนึ่งลี้เท่ากับ 0.5 กิโลเมตรหรือครึ่งกิโลเมตร) ถนนหนทางและบ้านเรือนตั้งติดต่อกันเป็นพืด ประชาชนร่ำรวยมั่งคั่ง ในเรือนมีทรัพย์มหาศาล มีเพชรนิลจินดามากมาย ชาวเมืองนิสัยสุภาพเรียบร้อย โอบอ้อมอารี ใฝ่ใจศึกษาศิลปวิทยาประเพณี คนส่วนใหญ่นับถือลัทธินอกศาสนาพุทธ ที่นับถือศาสนาพุทธมีจำนวนน้อย อากาศอบอุ่น พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ ผลหมากรากไม้หลากพันธุ์หลากชนิด ต้นหญ้าขึ้นเขียวชอุ่มโอนลู่ตามลม (ซิว ซูหลุน,ถังซำจั๋ง: จดหมายเหตุการณ์เดินทางสู่แดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง,กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน,2549,หน้า 264)

          ทางด้านศาสนาพระถังซำจั๋งยังได้บันทึกไว้ต่อไปว่า “ภายในแคว้นมีอารามกว่า 30 แห่ง พระภิกษุสงฆ์ประมาณ 3000 รูป ล้วนศึกษานิกายสัมมติยะฝ่ายหินยานทั้งสิ้น มีเทวสถานของพวกเดียรถีย์ประมาณ 100 แห่ง เดียรถีย์จำนวนกว่าหมื่น ส่วนใหญ่นับถือพระมเหศวร ที่ตัดผมสั้นเกรียนก็มี ที่เกล้าเป็นมวยก็มี คนพวกนี้ล้วนเปลือยกาย ปราศจากอาภรณ์ใดๆปกปิด ถูทาขี้เถ้าตลอดกาย กระทำทุกรกิริยาอย่าพากเพียร มุ่งหวังผลหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด(หน้า 264)
          มีคำที่ควรขยายความอยู่สองคำคือ “นิกายสัมมติยะ กับคำว่า “เดียรถีย์”  สมัยนั้นพระพุทธศาสนาแยกออกเป็นสองนิกายใหญ่ๆคืออาจริวาทหรือหินยาน และมหายาน ในส่วนของอาจริยวาทยังแตกออกเป็นนิกายเล็กๆน้อยๆอีกถึง 18 นิกาย
          นิกายสัมมติยะ เป็นนิกายหนึ่งในสายฝ่ายอาจริยวาทหรือหินยาน นิกายนี้มีชื่อเรียกแตกต่างกันเช่น สุตวาทะ สัมมติยะ วาสสีปุตริยะ และสมิติยวาท น่าจะเป็นนิกายเดียวกัน นิกายนี้แยกมาจากนิกายวัชชีบุตร บางทีก็มีคำเรียกว่า “นิกายสมิติยวัชชีบุตร” 
          ในอรรถกถา พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ เล่ม 4 ภาค 1  หน้าที่ 6  ก็เรียกนิกายนี้ว่า “สมิติยะ” ดังข้อความว่า “ในร้อยแห่งปีที่สองนั้นนั่นแหละ อาจริยวาททั้งสองคือมหิสาสกะและวัชชีปุตตกะเกิดขึ้นแตกแยกมาจากเถรวาท ในบรรดาอาจริยวาททั้งสองนั้น อาจริยวาททั้งสี่คือ ธัมมุตตริยะ  ภัทรยานิกะ ฉันนาคาริกะ  และสมิติยะ”

          นิกายสมิติยะมีหลักคำสอนที่สำคัญคือ “ถือว่าการประพฤติพรหมจรรย์ไม่มีในเทวโลก โยยกเอาพระพุทธภาษิตที่ว่า “มนุษย์ชาวชมพูทวีปเป็นผู้สูงและประเสริฐยิ่งกว่ามนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์” แต่คำสอนอย่างนั้นนิกายเถรวาทดั้งเดิมคัดค้าน ไม่เห็นด้วยโยยกเหตุผลว่า  “พระอนาคามีที่ตายไปบังเกิดในพรหมโลกแล้วประพฤติพรหมจรรย์จนนิพพานในเทวโลกก็มี” นิกานสมิติยะแย้งว่านั่นเพราะท่านทำให้แก่กล้าในสมัยที่ยังเป็นมนุษย์”
          ในอรรถกถาพรหมจริยกถา พระอภิธรรมปิฎก กถาวัตถุ เล่ม 4 ภาค 1 หน้าที่ 297 กล่าวถึงการความเชื่อเรื่องการประพฤติพรหมจรรย์ของนิกานสมิตยะไว้ว่า “การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์มีสอง อย่างคือการเจริญมรรค และการบรรพชา การบรรพชาย่อมไม่มีในเทพทั้งหลายเว้นอสัญญีสัตว์แล้ว   การเจริญมรรคท่านไม่ปฏิเสธในเทพทั้งหลายที่เหลือ ประการประพฤติพรหมจรรย์แม้ทั้งสองไม่มีในเทพทั้งหลายเพราะอาศัยพระสูตรนี้ว่า     ภิกษุทั้งหลาย  มนุษย์ชาวชมพูทวีป  ย่อมครอบงำมนุษย์ชาวอุตตรกุรุทวีป  และเทพทั้งหลายชั้นดาวดึงส์  ด้วยฐานะสามอย่าง คือ(1) สุรา  เป็นผู้กล้า  (2) สติมนฺโต  มีสติ  (3)  พฺรหฺมจริยวาโส  การอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระพุทธศาสนา”
          อีกข้อหนึ่งถือว่าบุคคลละกิเลสได้เป็นส่วนๆ โดยอ้างพระพุทธภาษิตในขุททกนิกาย ธรรมบท(25/28/47) ความว่า “นักปราชญ์ทำกุศลทีละน้อยๆในขณะๆพึงขจัดมลทินของตนออกได้โดยลำดับ เหมือนช่างทองขจัดมลทินของทอง ฉะนั้น”
          ภาษาบาลีคือ “อนุปุพฺเพน เมธาวี         โถกํ โถกํ ขเณ ขเณ           
                             กมฺมาโร รชตสฺเสว        นิทฺธเม มลมตฺตโน” 

          นิกายเถรวาทดั้งเดิมค้านว่า “คำสอนนั้นหมายถึงการพยายามขจัดกิเลสจากต่ำไปหาสูงสุด โดยไม่ท้อถอย โดยยกเอาตัวอย่างการละกิเลสของพระโสดาบันเป็นตัวอย่าง”(พระราชธรรมนิเทศ(ระแบบ ฐิตญาโณ), ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา,กรุงเทพฯ: สภาการศึกษามหามกุฏราชวิทยาลัย,2536,หน้า 210)
          เรื่องของการตีความตามความเข้าใจของแต่ละคนนั้น บางครั้งก็อาจจะทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิดเป็นทิฏฐิสามัญญตา จนทำให้เกิดเป็นนิกายใหม่ได้ มีภาษาดั้งเดิมคือภาษาบาลีกำกับไว้ นักปราชญ์ทั้งหลายโปรดพิจารณา
          นิกายนี้ยังมีหลักความเชื่อที่เกิดจากการตีความแตกต่างจากนิกายอื่นๆอีกหลายเรื่องเช่น “ถือว่ามีบุคคล อัตตา อาตมัน ปรมัตถ์  ถือว่ามีอันตรภาวะ  วิญญัติก็เป็นศีล  อนุสัยเป็นอัพยากตะ     ปุถุชนละกามราคะ พยาบาทได้แต่ไม่ใช่ด้วยอริยญาณ เป็นต้น

          คำว่า "เดียรถีย์" มาจากภาษาบาลีว่า “ติตฺถิย” คำนามเพศชาย แปลว่า “นักบวชนอกศาสนา” ซึ่งในสมัยนั้นมีอยู่จำนวนมาก ที่พระถังซำจั๋งบันทึกไว้ว่า “คนพวกนี้ล้วนเปลือยกาย” นั้นน่าจะเป็นนักบวชในศาสนเชนหรือชินะ นิกายฑิฆัมพร ที่นิกายเปลือยกายหรือที่เรียกว่านุ่งลมห่มฟ้า ส่วนนิกายเศวตัมพร นิกายนุ่งผ่ช้าขาว คงเจริญในแคว้นอื่น
          ส่วนนักบวชในลัทธิศาสนาอื่นๆพระถังซำจั๋งบันทึกต่อไปว่า “ในเมืองหลวงมีเทวสถานของพวกเดียรถีย์กว่า 20 แห่ง ทุกแห่งสร้างเป็นชั้นๆขึ้นไปเป็นภาพจักรวาล จำหลักเป็นลวดลายบนศิลาผนังและตัวเสาไม้ ป่าไม้ที่ขึ้นหนาแน่นช่วยกำบังให้ความร่มรื่น สายน้ำใสสะอาด(หลายสาย) ไหลพาดผ่าน มีเทวรูปหล่อด้วยแก้วกาจสูงราว 100 เฉียะ(1 เฉียะประมาณ 10 นิ้วหรือประมาณหนึ่งฟุต) ดูสง่าน่าเกรงขาม ไม่ผิดแผกจากพระกายแท้แต่ประการใด(หน้า 265)

          อารามของนักบวชนอกพระพุทธศาสนาบางแห่งยังหลงเหลือมีปรากฎให้เห็นตามสถานที่ต่างๆในเมืองพาราณสี แต่อารามของพระพุทธศาสนากลับไม่ปรากฏให้เห็นเลย หรือว่ายังมีเวลาไม่มากพอในการค้นหา หรือว่าอารามเหล่านั้นได้เปลี่ยนเป็นศาสนาสถานของศาสนาอื่นไปหมดแล้ว
          ที่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำพาราณสี ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของตัวเมืองมีสถูป พระเจ้าอโสกมหาราชทรงสร้างไว้สูงกว่า 100 เฉียะ ข้างหน้าสถูปมีเสาศิลา เปล่งสีเขียวมรกตเป็นมันเรียบดั่งกระจกเงา เนื้อละเอียดลื่นเป็นมัน บนเสาศิลามักปรากฏเงาพระฉายของพระตถาคตเจ้าเป็นเนืองนิตย์”(หน้า 265)
          สถูปนี้ก็ไม่ปรากฏหลักฐานในปัจจุบัน ที่ยังมีหลักฐานปรากฏชัดเจนที่สุดคืออารามมฤคทายวันตามบันทึกว่า “จากแม่น้ำพาราณสีบ่ายหน้าไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 10 ลี้ ถึงอารามมฤคทายวัน ภายในอารามแบ่งบริเวณออกเป็น 8 ส่วน มีกำแพงติดต่อถึงกันเป็นแนวเดียว ตัวอารามเป็นหอสูงสร้างเป็นชั้นๆ รูปแบบและการวางแปลนเลิศหรูโอฬาร มีภิกษุสงฆ์ 1500 รูป ล้วนศึกษานิกายสัมมติยะฝ่ายหินยาน สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แห่งแรกที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาเมื่อทรงตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณแล้ว” ”(หน้า 266)

          พระถังซำจั่งบรรยายอารามแห่งนี้ไว้อย่างละเอียด ปัจจุบันมีเจดีย์ธัมกขสถูปเป็นสัญลักษณ์แห่งการแสดงปฐมเทศนาปรากฏให้เห็น
          พระถังซำจั๋งหรืออีกชื่อหนึ่งคือ “พระภิกษุเฮี่ยงจัง” ได้เขียนบันทึก จดหมายเหตุการณ์เดินทางสู่ดินแดนตะวันตกของมหาราชวงศ์ถัง  เป็นหนังสือที่เขียนไว้ตั้งแต่ปีคริสตศักราช 646 หรือพุทธศักราช 1189 ผ่านมา 1369 ปีแล้ว หลักฐานบางแห่งสามารถสืบค้นได้ว่ามีอยู่ตามที่พระถังซำจั๋งบันทึกไว้จริง แต่สถานที่บางแห่งยังสืบค้นไม่พบ
          แม่น้ำคงคาในปัจจุบัน สมัยนั้นพระถังซำจั๋งวเรียกว่า “แม่น้ำคงคาบ้าง แม่น้ำพาราณสีบ้าง” ชื่อเมืองยังคงเป็น “พาราณสี” หรือ “วาราณสี” ปัจจุบันแม้เสียงจะเพี้ยนเป็น “บานารัส” แต่คนส่วนมากยังคงเรียกขานตามชื่อเดิมคือ “พาราณสี”
          พาราณสีในปัจจุบันแม้กาลเวลาจะผ่านไปตามบันทึกของพระถังซำจั๋งนานกว่า 1369 ปีแล้ว แต่สภาพถนนหนทางอาคารบ้านเรือนยัง “ตั้งติดต่อกันเป็นพืด คนส่วนใหญ่ยังนับถือลัทธินอกศาสนาพุทธ ที่นับถือศาสนาพุทธมีน้อย”

          หากจะบันทึกใหม่ในปัจจุบันก็น่าจะบรรยายสภาพเมืองพารณสีได้ดังนี้ “เมืองพารณสีมีอาคารบ้านเรือนเบียดเสียดกันหนาแน่น มีผู้คนเดินทางจากทั่วโลกมาเพื่อชื่นชมความมหัศจรรย์ของพิธีกรรมการอาบน้ำชำระบาปของชาวฮินดู มาชมความมหัศจรรย์ของพิธีเผาศพริมฝั่งแม่น้ำคงคาที่เชื่อกันว่าเปลวไฟไม่เคยดับตลอดระยะเวลา 4000 ปี มีนักบวชประเภทต่างๆปฏิบัติบำเพ็ญตนริมฝั่งแม่น้ำคงคาจำนวนมาก แม้จะไม่ค่อยได้เห็นชาวพุทธจากอินเดีย แต่ก็มีพุทธศาสนิกชนจากประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาทั่วโลกเดินทางมาที่เมืองพาราณสีไม่ขาดสาย”
          พารณสีตามบันทึกของพระถังซำจั๋งและสภาพที่เห็นในปัจจุบัน แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้าง แต่ก็พอมองเห็นสภาพเค้าลางแห่งความเป็นไปของสภาพบ้านเมือง แต่สิ่งที่ยังจะต้องค้นหาต่อไปคือ “อาราม 30 แห่ง” ของพระพุทธศาสนานิกายสัมมติยะหรือสมิติยะนั้น อยู่ที่ตรงไหนบ้าง ปัจจุบันมีสภาพเป็นอย่างไร หรือว่าได้ถูกปรับเปลี่ยนกลายเป็นเทวสถานของนักบวนอกพระพุทธศาสนาไปหมดแล้ว       

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
09/02/58

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก