อากาศหนาวขึ้นมาแบบไม่แจ้งล่วงหน้า มาแบบไม่ทันตั้งตัว ฟ้าครึ้มลมโชยหอบเอาความหนาวเย็นมาปกคลุมกรุงเทพมหานคร เกิดเป็นความหนาวเย็นที่ต้องหาผ้าห่มมาคลุมกาย ตามปกติกรุงเทพมหานครไม่ค่อยพบกับความหนาว หรือหากจะหนาวก็หนาวไม่นานสองสามวันความหนาวก็โบยบินจากลาไปแล้ว แต่เอาเถอะอย่างน้อยก็ยังได้ชื่อว่าลมหนาวมาเยือนแล้ว
ฟ้าครึ้มลมโชยวันนี้มีงานตั้งแต่เช้าจึงออกจากวัดตั้งแต่เช้า ไปถึงศาลายา นักศึกษากำลังเตรียมจัดสถานที่จัดงาน ตั้งเวทีเพื่อเปิดการแสดงในช่วงปีใหม่ แสดงว่าใกล้ถึงวันสิ้นปีอีกแล้ว วันเดือนปีเคลื่อนผ่านไปตามปฏิทิน เพียงไม่กี่เดือนก็เปลี่ยนปีปฏิทิน ชีวิตมนุษย์ก็ต้องแปรเปลี่ยนไปตามวันเวลา
อากาศกำลังเย็นสบาย ลมหนาวโชยมาแผ่วๆ จึงเดินเล่นริมรั้วข้างมหาวิทยาลัย ในมือถือกล้องตัวเดิมที่เคยใช้มานานหลายปี วันนี้รู้สึกว่ากล้องหนักผิดปกติ อันที่จริงกล้องตัวเดิม หนักเท่าเดิม แต่พละกำลังของคนถือคงน้อยลง จึงทำให้เกิดความหนักขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ กำลังกายของมนุษย์ก็ไม่ได้รับการยกเว้น ต้องแปรเปลี่ยนเฉกเช่นสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่ดำรงอยู่ในโลกมีเกิด มีเสื่อม มีดับไปตามธรรมดา
ดอกไม้ที่เคยงดงามเมื่อหลายเดือนก่อน บัดนี้เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่กาล พอสิ้นหน้าฝนก็เหี่ยวเฉา ต้นข้าวที่เคยเขียวขจีกำลังออกรวงสีเหลืองอร่ามรอการเก็บเกี่ยว กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ที่หล่อเลี้ยงชีวิตมนุษย์ต่อไป ข้าวเกิดมาเพื่อเป็นอาหารทั้งแก่ฝูงนกที่บินว่อนเหนือทุ่งนาเพื่อกินอาหาร และทั้งแก่มวลมนุษย์เพื่อที่จะได้ดำรงอยู่ต่อไป
พยายามมองหาความงาม ของดอกไม้เพื่อที่จะได้บันทึกภาพอันสวยงามไว้ชื่นชม แต่ก็หาไม่ได้ จึงหันไปถ่ายภาพกิ่งไม้แห้งๆ ดอกไม้ที่กำลังเหี่ยวแห้ง ผลไม้ที่กำลังจะหล่นจากขั้ว ซึ่งหากมองให้ดีย่อมมีความงามแฝงอยู่ นึกถึงคำสอนในลัทธิเต๋า ที่บอกว่าสรรพสิ่งอุบัติขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ ดังข้อจากคัมภีร์เต๋าเต็กเก็งบทหนึ่งว่า “เมื่อคนในโลกรู้จักความสวยว่าสวย ความน่าเกลียดก็อุบัติขึ้น เมื่อคนในโลกรู้จักความดีว่าดี ความชั่วก็อุบัติขึ้น มีกับไม่มี เกิดขึ้นด้วยการรับรู้ ยากกับง่าย เกิดขึ้นด้วยความรู้สึก ยาวกับสั้น เกิดขึ้นด้วยการเปรียบเทียบ สูงกับต่ำ เกิดขึ้นด้วยการเทียบเคียง เสียงดนตรีกับเสียงสามัญ เกิดขึ้นด้วยการรับฟัง หน้ากับหลัง เกิดขึ้นด้วยการนึกคิดดังนั้นปราชญ์ย่อม กระทำด้วยการไม่กระทำ เทศนาด้วยการไม่เอ่ยวาจาการงานทั้งหลายก็สำเร็จลุล่วงลงท่านให้ชีวิตแก่สรรพสิ่ง แต่มิได้ถือตัวเป็นเจ้าของ ประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ แต่มิได้ประกาศให้โลกรู้ เหตุที่ท่านไม่ปรารถนาในเกียรติคุณ เกียรติคุณของท่านจึงดำรงอยู่ไม่สูญสลาย”
สิ่งต่างๆหากมีการเปรียบเทียบจะมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามเสมอ ความงามกับความไม่งาม ความดีกับความชั่วร้ายล้วนมีอยู่ตามธรรมดา แต่ความงามหรือไม่งามส่วนหนึ่งมาจากตัวคนมอง ต้นหญ้าที่กำลังเหี่ยวแห้งพอมาปรากฏในภาพถ่าย ก็อาจจะกลายเป็นความงดงามได้
เดินไปที่โรงอาหารวันนี้นักศึกษาสอบเสร็จแล้ว โรงอาหารก็พลอยเงียบเหงาไปด้วย เด็กคนหนึ่งกำลังช่วยแม่ขายอาหาร จึงยกกล้องขึ้นถ่ายภาพ ครั้งแรกก็ยังกล้าๆกลัวๆ แต่พอนำภาพที่พึ่งถ่ายให้ดู เด็กคนนั้นก็เริ่มค้นเคย โพสท่าให้ถ่ายภาพตามที่บอก
“หลวงพ่อครับผมอยากถ่ายภาพหลวงพ่อบ้าง ให้ผมถ่ายภาพได้ไหมครับ” เด็กคนนั้นเริ่มคำสนทนา เพราะมีความคุ้นเคยกันแล้ว
จึงบอกว่า “ได้สิ แต่ถ่ายดอกไม้แทนหลวงพ่อก็แล้วกัน หลวงพ่อแก่แล้ว หน้าก็เหี่ยว หนังก็แห้งถ่ายแล้วคงไม่น่าดู”
ดอกไม้ ผลไม้นั้นยังสดอยู่ จึงค่อยๆประครองกล้องและบอกให้เด็กคนนั้นถ่ายภาพ ถึงแม้ว่าภาพที่ถ่ายนั้นไม่อาจจะเรียกว่าภาพถ่าย เพราะภาพไม่ชัด ให้ถ่ายดอกไม้แต่พอกดชัดเตอร์กลายเป็นว่าถ่ายต้นไม้แทน แต่อย่างน้อยเด็กคนนั้นก็ได้เริ่มเรียนรู้การถ่ายภาพเบื้องต้นแล้ว เป็นการศึกษานอกสถานที่ และยังเป็นการสอนที่ไม่มีในตำราเรียน แต่ธรรมชาติของเด็กมีความอยากรู้อยากเห็น อยากเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ หากสนใจในการศึกษาก็จะนำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าในอนาคตได้ ในช่วงที่เดินทางมานั้นเห็นมีป้ายเขียนไว้ข้างรถคันหนึ่งว่า “เกิด เรียน โต ทำงาน อยู่ รู้ปัญหา” อ่านแล้วเป็นวลีที่เข้าท่าดี นั่นเป็นตำราเรียนข้างรถ ขออนุญาตนำมาขยายต่อก็แล้วกัน
มนุษย์นั้นถือกำเนิดเกิดขึ้นมา พอรู้เดียงสาก็ศึกษาเรียนรู้ เติบโตหน่อยก็เริ่มทำงาน สร้างที่อยู่ที่พักพิงเพื่อหาที่พึ่งแก่ตนเองและครอบครัว มีชีวิตอยู่ในท่ามกลางแห่งปัญหาที่จะต้องหาทางแก้ไขอยู่ร่ำไป ชีวิตของมนุษย์ตามธรรมดาดำเนินไปในทำนองนี้ อาจจะมีบ้างที่เดินทางสายอื่น ไม่ศึกษาไม่เรียนรู้ แต่ลงมือปฏิบัติซึ่งก็เป็นการศึกษาอีกอย่างหนึ่งเหมือนกัน สุดท้ายปลายทางของชีวิตก็ต้องจากโลกนี้ไปเหมือนกันทุกคน มนุษย์จึงต้องหาที่พึ่งแก่ตนเอง
ในพระพุทธศาสนามีคำสอนเรื่องการมีตนเป็นที่พึ่ง ดังที่แสดงไว้ในเจลสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค (19/744/218) ความว่า “สิ่งใดเกิดแล้วมีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้ เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด”
ที่พึ่งอื่นพึ่งได้เพียงช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่หากใครที่มีธรรมอยู่ในจิตใจก็สามารถเป็นที่พึ่งของตนได้ตลอดไป ผู้ที่ใคร่ต่อการศึกษาจึงจะเป็นผู้ที่เลิศกว่าคนอื่น แม้จะไม่ศึกษาก็อยู่ได้ แต่ผู้ที่ใคร่ต่อการศึกษา มีตนเป็นที่พึ่งจึงจักเป็นผู้เลิศดังที่แสดงไว้ในในจุนทสูตร สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค (19/740/217) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุพวกใดพวกหนึ่งในบัดนี้ก็ดี ในกาลที่ล่วงไปแล้ว ก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุเหล่านี้นั้น ที่เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษา จักเป็นผู้เลิศ”
ต้นไม้ใบหญ้าเกิดขึ้น ดำรงอยู่ตามธรรมดา ออกดอกออกผลแพร่พันธุ์ไปตามธรรมชาติ ต้นไม้ต้นเดิมแม้จะเหี่ยวแห้งและตายไป แต่ก็มีต้นใหม่ขึ้นมาแทน มนุษย์ก็ไม่ต่างกัน เกิด เรียน โต ทำงาน อยู่ สู้ปัญหา ถึงเวลาก็จากไป เฉกเช่นสรรพสิ่งทั้งหลาย
ต้นข้าวพึ่งพาอาศัยน้ำหล่อเลี้ยงจึงเจริญงอกงาม ต้นไม้ก็อาศัยน้ำและดินจึงกำเนิดเติบโตอยู่ได้ มนุษย์จะอิงอาศัยอะไร พืชพันธุ์ทั้งหลายยังเป็นอาหารให้แก่สัตว์เหล่าอื่นได้อีกด้วย ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ที่ต้องพึ่งพาอาหารจากพืชผักนานาชนิด เพื่อให้ร่างกายดำรงอยู่ต่อไปได้ แต่ในส่วนของจิตใจเล่าจะมีอะไรเป็นที่พึ่งได้เล่า แต่ละคนต้องสร้างที่พึ่งเอาเอง หาธรรมเป็นที่พึ่งแม้ในยามที่จากโลกนี้ไปธรรมก็ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม
ในวันที่รู้สึกว่าว่าง ในวันที่ลมหนาวมาเยือน ได้เดินเล่นริมรั้วได้สัมผัสกับธรรมชาติ ได้ฟังเสียงนกร้อง ได้เห็นฝูงผีเสื้อแมลงปอบินเล่นตามต้นไม้ใบหญ้าริมรั้ว สรรพสิ่งกำลังสอนบทเรียนนอกตำรา สรรพชีวิตทั้งหลายเกิดขึ้น ดำเนินไป คร่ำคร่าแก่ชราและรอวันพรากจากไม่แตกต่างจากชีวิตของมวลมนุษยชาติทั้งหลาย ความเรียบง่ายของธรรมชาติคือความงดงามที่หาได้ไม่ยาก หากในใจมีความสงบสันติ ก็จะมองสิ่งที่แสนธรรมดาเป็นความงามไปด้วย
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
18/12/57