ดูภาพข่าวทหารและประชาชนปะทะกันที่ถนนราชดำเนินและสี่แยกคอกวัว ทหารในชุดเตรียมพร้อม ประชาชนบางคนไม่รู้ว่าขณะนี้กำลังเกิดอะไรขึ้น บางคนไม่เข้าใจงุนงงสับสนวุ่นวาย แต่ทว่าได้กลายเป็นร่างไร้วิญญาณพลีชีพสังเวยอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ถูกคลุมด้วยผ้าแดงบนถนนราชดำเนินในคืนวันที่ 10 เมษายน 2553 การปะทะกันเพียงเพราะวัตถุประสงค์ต่างกัน แย่งพื้นที่ที่ตนเองไม่มีสิทธิทั้งคู่ เพราะที่นั่นเป็นที่สาธารณะ แต่ในที่สุดก็มีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก น่าอนาถหนอประชาชนคนไทยเพียงเพราะมีความเห็นไม่ตรงกันต้องมาเข่นฆ่ากันเอง ชีวิตของผู้คนชาวรากหญ้าเหมือนใบไม้ที่พร้อมจะปลิดปลิวร่วงหล่นได้ทุกเวลา
ผู้ที่มีใจเหี้ยมโหดย่อมเข่นฆ่าผู้อื่นได้ง่ายแต่ผลที่ตามมาหากไม่ส่งผลในชาตินี้ก็จะส่งผลในชาติต่อๆไปคือทำให้เป็นคนมีอายุสั้นต้องเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร ในเรื่องของการที่มนุษย์จะมีอายุสั้นหรือยาวนั้น พระพุทธเจ้าได้แสดงสาเหตุไว้ในจูฬกัมมวิภังคสูตร มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ (14/582/288) ความว่าบุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตาม บุรุษก็ตาม เป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือดหมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต เขาตายไปจะเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไปไม่เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีอายุสั้น ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุสั้นนี้คือเป็นผู้มักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต ฯ
ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนมีอายุยืน(14/583/288)ความว่า “บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นสตรีก็ตามบุรุษก็ตามละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญา วางศาตราได้มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่ เขาตายไป จะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะกรรมนั้น อันเขาให้พรั่งพร้อมสมาทานไว้อย่างนี้ หากตายไป ไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเป็นมนุษย์เกิด ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นคนมีอายุยืน ดูกรมาณพปฏิปทาเป็นไปเพื่อมีอายุยืนนี้คือละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญาวางศาตราได้ มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่ ฯ
การที่จะมีอายุยืนหรืออายุสั้นอาจมีหลายสาเหตุที่แสดงมานี้เป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งเท่านั้น ชีวิตไม่ใช่เส้นตรงต้องคดโค้งวกวนไปตามการกระทำ หากดูที่ต้นไม้ชีวิตก็เปรียบได้กับใบไม้บนต้นไม้ต้นหนึ่ง ชีวิตมนุษย์คล้ายใบไม้
ใบไม้เริ่มต้นจากเป็นใบไม้อ่อนที่อาจมองดูด้วยความสดชื่นเพราะยังมีความสวยงาม จากนั้นก็ค่อยๆแปรสภาพเป็นใบไม้แก่ พอถึงเวลาหนึ่งก็จะกลายเป็นใบไม้แห้งที่เมื่อมองดูอาจทำให้จิตใจหดหู่ ในที่สุดก็จะล่วงหล่นไปตามกาลเวลา ชีวิตมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกันเริ่มต้นจากเด็กมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวัง "มองข้างหน้ามีหวัง มองข้างหลังมีความสุข" จากนั้นเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ กลายเป็นคนแก่ชีวิตที่ความหดหู่ "มองข้างหน้าหมดหวัง มองข้างหลังหดหู่" ในที่สุดหล่นล่วงสิ้นไปเหมือนใบไม้ที่หล่นจากขั้ว
หากเกิดมาแล้วไม่ทำความดีอะไรไว้เลย ชีวิตก็เหมือนเกิดมาสูญเปล่า แต่ละคนต้องหาเสบียงไว้เพื่อการเดินทางไปในภพต่อไป ดังที่พระพุทธจ้าได้แสดงแก่พราหมณ์คนหนึ่งในขุททกนิกาย ธรรมบท มลวรรค(25/28/32)ว่า “บัดนี้ท่านเป็นดุจใบไม้เหลือง อนึ่ง แม้บุรุษของพระยายมก็ปรากฏแก่ท่านแล้ว ท่านตั้งอยู่ในปากแห่งความเสื่อม อนึ่งเสบียงเดินทางของท่านก็ยังไม่มี ท่านจงทำที่พึงแก่ตน จงรีบพยายาม จงเป็นบัณฑิตเถิด”
ทุกคนต้องเตรียมพร้อมสำหรับความตายไว้ด้วยเพราะบางครั้งความตายอาจมาเยือนในเวลาที่เราไม่คาดคิด เดินอยู่บนถนนดีๆอาจจะไม่เหลือชีวิตได้กลับบ้านอีกเลยก็ได้ นอกจากนั้นยังต้องหาเสบียงในการเดินทางไปในภพที่เราไม่คุ้นเคย อาจจะดีกว่าภพที่เราอยู่ในปัจจุบันหรืออาจเลวร้ายกว่า แต่ถ้าเรามีเสบียงคือบุญกุศลที่เพียงพอก็จะทำให้อุ่นใจได้ว่าชีวิตในภพหน้าจะเป็นอย่างไรไม่สำคัญเพราะเรามีเสบียงสำหรับเลี้ยงตนไว้แล้ว ชีวิตอาจถูกปลิดร่วงหล่นได้แม้อยู่กลางเมืองหลวง เหมือนใบไม้ที่พร้อมจะหล่นจากขั้วได้ทุกเวลา
พระมหาบุญไทย ปุญญมโน
12/04/53