ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

             ในคราวไปประชุมสมาคมมหาพระพระพุทธศาสนาเถรวาทที่เมืองสะกาย มัณฑเลย์ ประเทศเมียนมาร์ ขากลับมาแวะพักเที่ยวชมเจดีย์ที่พุกาม เกิดความประทับใจในความงามที่บรรพบุรุษของพม่าได้สร้างสรรค์ศิลปะแห่งเจดีย์ กระจายเต็มท้องทุ่ง กลายเป็นเหมือนกำลังเดินเที่ยวและหลงหายไปในทะเลแห่งเจดีย์ เคยมีนักวิชาการท่านหนึ่งกล่าวไว้ในทำนองว่า "หากไม่ไปนครวัดอย่าพึ่งตาย แต่หากใครไปพุกามแล้วนอนตายตาหลับได้"  สิ่งมหัศจรรย์ทั้งสองแห่งนี้อยู่คนละด้านของประเทศไทย ควรหาโอกาสไปทัศนาสักครั้ง 

             หากเพ่งมองไปในทะเลจะเห็นความมหัศจรรย์ของน้ำกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา ไม่รู้ว่าจุดที่สิ้นสุดอยู่ตรงไหน เพราะทะเลเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด  แต่หากเรามองท้องทุ่งจะให้ความรู้สึกต่างกัน เพราะท้องทุ่งแม้จะกว้างใหญ่ไพศาลไม่ต่างจากทะเลเท่าใดนัก ท้องทุ่งก็มีที่สุดนั่นคือหมู่แมกไม้มาบดบังจนมองได้ไม่ไกล หากท่านมองไปยังท้องทุ่งที่เต็มไปด้วยเจดีย์มากมายเหลือคณานับ บางองค์เล็กบางองค์ใหญ่ สูงๆต่ำๆลดหลั่นกันไปจะเกิดความรู้สึกเช่นใด นอกจากคิดว่านี่คือท้องทุ่งที่เหมือนทะเล แต่เป็นทะเลแห่งเจดีย์ ที่แห่งนี้ยังมีในโลกนั่นคือพุกาม ทะเลแห่งเจดีย์

 

              คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในใจคือใครคือผู้สร้างเจดีย์เหล่านี้ สร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใด และสร้างเพื่ออะไร เมื่อเห็นเจดีย์ทุกครั้งคำถามทั้งสามข้อก็มักจะวนเวียนขึ้นมาเสมอ ในคณะเราไม่มีไกด์นำเที่ยว ทุกคนต้องหาข้อมูลกันเอง การไม่มีผู้นำเที่ยวนับว่าเป็นข้อดีอย่างหนึ่ง เพราะเราต้องหาหนังสืออ่านเอง สอบถามจากผู้รู้และคอยเงี่ยงหูฟังไกด์คณะอื่นๆบรรยายบ้าง ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งมีเวลาบันทึกภาพได้มากที่สุด 

ประวัติอาณาจักรพุกามโดยสังเขป

              อาณาจักรพุกามนั้นตามบันทึกทางประวัติศาสตร์กล่าวไว้โดยสรุปว่า “ปีพุทธศักราช 1392 จึงมีหลักฐานถึงอาณาจักรอันทรงอำนาจซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองพุกาม โดยได้เข้ามาแทนที่ภาวะสุญญากาศทางอำนาจภายหลังจากการเสื่อมสลายไปของอาณาจักรชาวพยู อาณาจักรของชาวพุกามแต่แรกนั้นมิได้เติบโตขึ้นอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กระทั่งในรัชสมัยของพระเจ้าอโนรธา (พ.ศ. 1587 – 1620) พระองค์จึงสามารถรวบรวมแผ่นดินพม่าให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสำเร็จ และเมื่อพระองค์ทรงตีเมืองสะเทิมของชาวมอญได้ในปีพุทธศักราช 1600 อาณาจักรพุกามก็กลายเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งที่สุดในดินแดนพม่า อาณาจักรพุกามมีความเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้ากยันสิทธา (พ.ศ. 1624 – 1655) และพระเจ้าอลองสิทธู (พ.ศ. 1655 – 1710) ทำให้ในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 17 ดินแดนในคาบสมุทรสุวรรณภูมิเกือบทั้งหมดถูกครอบครองโดยอาณาจักรเพียงสองแห่งคือเขมรและพุกาม   อำนาจของอาณาจักรพุกามค่อยๆ เสื่อมลง ด้วยเหตุผลหลักสองประการ ส่วนหนึ่งจากการถูกเข้าครอบงำโดยของคณะสงฆ์ผู้มีอำนาจ และอีกส่วนหนึ่งจากการรุกรานของจักรวรรดิมองโกลที่เข้ามาทางตอนเหนือ พระเจ้านราธิหบดี (ครองราชย์ พ.ศ. 1779 – 1830) ได้ทรงนำทัพสู่ยุนนานเพื่อยับยั้งการขยายอำนาจของมองโกล แต่เมื่อพระองค์แพ้สงครามที่งาสองกยัน (Ngasaunggyan) ในปีพุทธศักราช 1820 ทัพของอาณาจักรพุกามก็ระส่ำระสายเกือบทั้งหมด พระเจ้านราธิหบดีถูกพระราชโอรสปลงพระชนม์ในปีพุทธศักราช 1830 กลายเป็นตัวเร่งที่ทำให้อาณาจักรมองโกลตัดสินใจรุกรานอาณาจักรพุกามในปีเดียวกันนั้น ภายหลังสงครามครั้งนี้ อาณาจักรมองโกลก็สามารถเข้าครอบครองดินแดนของอาณาจักรพุกามได้ทั้งหมด ราชวงศ์พุกามสิ้นสุดลงเมื่อมองโกลได้แต่งตั้งรัฐบาลหุ่นขึ้นบริหารดินแดนพม่าในปีพุทธศักราช 1832 (อาทร จันทรวิมล,ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย,กรุงเทพฯ:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2548,หน้า 116)

              นั่นเป็นประวัติย่อๆของอาณาจักรแห่งนี้ที่ผู้เขียนเป็นคนไทย รวบรวมจากเอกสารต่างๆและบันทึกไว้จากต้นจนจบด้วยอักษรเพียงไม่กี่บรรทัด อาณาจักรแห่งลุ่มน้ำอิรวดีอันยิ่งใหญ่ก็มีอันเสื่อมสลายไป แต่หากพม่าเขียนประวัติศาสตร์จะเป็นอย่างไร

ขอมและพุกามเสื่อมสุโขทัยรุ่งเรือง

              อาณาจักรพุกามเสื่อมเพราะสองสาเหตุคือพระสงฆ์และมองโกล ยิ่งทำให้งงเข้าไปอีกพระสงฆ์ทำให้อาณาจักรถึงกับล่มสลายได้อย่างไรกัน  คณะสงฆ์ที่มีอิทธิพลในสมัยนั้นคือนิกายอรัญญวาสี สมัยพระเจ้ากยัสวารได้ยึดที่ดินที่บรรพกษัตริย์ได้พระราชทานไว้ให้เป็นที่ธรณีสงฆ์ เพราะกรณีดังกล่าวนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจในหมู่สงฆ์นิกายอรัญญวาสีซึ่งขณะนั้นมาอยู่ในวัดใหญ่ๆและมาซื้อหาที่ดิน เพราะได้รับความนิยมจากประชาชนมากขึ้น พระสงฆ์นิกายนี้เลิกยึดถือความยากจน เริ่มหันมาเสพย์เหล้าผลไม้เป็นต้น ประชาชนต่อต้านการยึดที่ดินของสงฆ์(หม่องทินอ่อง(เพ็ชรี สุมิตร แปล ,ประวัติศาสตร์พม่า,กรุงเทพฯ:มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย,2551, หน้า 44) 
              เมื่อคณะสงฆ์ต่อต้าน และในช่วงนั้นเกิดกบฏขึ้นทั่วไป สมัยพระเจ้านรสีหบดีขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงให้สร้างเจดีย์ใหญ่ โดยการเกณฑ์ประชนมาสร้าง ในช่วงนั้นพม่าและเขมรกำลังเสื่อม พวกไทยใหญ่ขบถ มองโกลกำลังแผ่ขยายอำนาจ ในช่วงนั้นจึงเกิดอาณาจักรใหม่ๆขึ้นเช่นอาณาจักรไทยอาหม ค.ศ.1229 อาณาจักรเมืองนาย ค.ศ. 1223  มีทหารไทยคนหนึ่งรับราชการอยู่กับกษัตริย์เขมรและแต่งงานกับเจ้าหญิงเขมรตั้งตัวเป็นใหญ่ขึ้น หลังจากขับไล่ทหารเขมรออกไปแล้วจึงได้ตั้งอาณาจักรสุโขทัยขึ้น ค.ศ.1253 ตรงกับพุทธศักราช 1796 (หม่อง หน้า 66) แต่ตามหลักฐานประวัติศาสตร์ชาติไทยระบุว่า ปีพุทธศักราช 1792 พ่อขุนบางกลางหาวเจ้าเมืองบางยางและพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ได้รวบรวมกำลังขับไล่ขุนนางขอมชื่อสบาดโขลญลำพงออกจากรุงสุโขทัยได้สำเร็จ กรุงสุดขทัยเป็นอิสระไม่ขึ้นกับขอมอีกต่อไปแล้วสถาปนากรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ทำการปกครองแบบพ่อปกครองลูก โดยพ่อขุนบางกลางหาวได้รับการสถาปนาเป็น “พ่อขุนศรีอินทราทิตย์” (อาทร,หน้า 124) 


              อาณาจักรขอมและพุกามเสื่อม อาณาจักรสุโขทัยจึงกำเนิดขึ้น จากยุคสุโขทัยมาถึงปัจจุบันเป็นเวลา 760 ปีแล้ว เจดีย์ในพุกามสร้างก่อนหน้านั้นจึงมีอายุประมาณ 1000 ปี แต่สภาพที่เห็นมีเพียงเจดีย์บางแห่งเท่านั้นที่แสดงว่ามีอายุพันปี บางองค์ได้รับการซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ ก็ต้องเข้าใจเพราะพม่ามีภัยภิบัติตลอด เจดีย์บางองค์เสียหายไปตามหลักฐานบอกว่า “ความมั่งคั่งในอาณาจักรใช้สร้างวัดนับไม่ถ้วนในกรุงพุกามยังมีปรากฏให้เห็นในปัจจุบันนี้ประมาณห้าพันวัด ซึ่งหลายแห่งยังคงใช้เป็นสถานที่บูชาอยู่ทุกวันนี้ วัดจำนวนหลายพันถูกทำลายไปเมื่อครั้งเกิดไฟไหม้ในปี ค.ศ. 1768 เมื่อครั้งกองทัพกุบไลข่านปล้นเมืองใน ค.ศ. 1830 และในครั้งที่ไทยใหญ่เผาเมืองใน พ.ศ. 1842  และยังมีวัดอีกจำนวนหลายร้อยวัดปรักหักพังไปเนื่องจากสร้างด้วยไม้ เจดีย์ต่างๆมีสองประเภทใหญ่ๆคือแบบสถูปตันและกลวงกลม หรือถ้ำจำลอง เจดีย์ใหญ่อันแรกคือเจดีย์ชเวสิกองของพระเจ้าอนุรุท มีลักษณะเป็นรูปปิรามิดมีฉัตรทองกั้นอีกชั้นหนึ่ง ทั่วทั้งเจดีย์ปิดทองและมีมณีอันมีค่าประดับฉัตรบนยอดเจดีย์ เจดีย์ส่วนมากที่กษัตริย์องค์ต่างๆสร้างมักเป็นแบบคล้าย “ถ้ำ” และเจดีย์แรกๆมักเป็นชั้นเดียวเท่านั้น ส่วนรุ่นต่อมาเติมเป็นสองชั้น มักใช้เป็นห้องสมุด ส่วนงานแบบอื่นๆ เช่นมียอดทองอยู่ข้างบนและมีฉัตรคลุมยอดอีกชั้นหนึ่ง(หม่องทินอ่อง,หน้า 57)

 

  ในขณะที่อาณาจักรขอมสร้างปราสาทหิน อาณาจักรพุกามสร้างเจดีย์ สองฟากฝั่งทั้งตะวันออกและตะวันตกเจริญอย่างสุดขีด แต่ขณะนั้นอาณาจักรสุโขทัยเพิ่งเริ่มต้น แอ่งอารยธรรมขอมและพุกามยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน

สร้างเจดีย์กันทำไม

               บัดนี้เรากำลังท่องอยู่ในยุคอาณาจักรพันปี แต่ก็ยังมีหลักฐานคือหมู่เจดีย์ต่างๆให้ศึกษาถึงความยิ่งใหญ่และความเลื่อมใสศรัทธาอันเกิดจากพระพุทธศาสนา ช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์เสียจริง ปัจจุบันยังมีเกวียนเทียมโคและรถม้าให้บริการแก่นักท่องเที่ยวอีก ในโลกยุคอินเตอร์เน็ตแทบจะไม่เคยคาดคิดว่าจะยังมีโลกอย่างนี้ให้เห็น
              ในเรื่องของประวัติศาสตร์พอหาอ่านกันได้ แต่การสร้างเจดีย์ถึงห้าพันองค์นั้นมีสาเหตุมาจากอะไรกันแน่ วัตถุประสงค์ในการสร้างเจดีย์ในพุกามนั้นไพโรจน์ โพธิ์ไทรได้สรุปไว้น่าสนใจว่า “กษัตริย์ในราชวงศ์พุกามทรงมีนิสัยตรงกันอย่างหนึ่งคือทรงสร้างวัดวาอาราม เจดีย์ โบสถ์ วิหาร ดูๆก็ทรงฝักใฝ่ในทางศาสนากันแทบทุกพระองค์ แต่ถ้าพิจารณาให้ลึกซึ้งบางองค์ก็ทรงมีพระประสงค์แตกต่างกันไปเช่นอย่างพระเจ้านรธูนั้นเหตุที่ทรงสร้างวัดสร้างโบสถ์ก็เพื่อเป็นการไถ่บาป เพราะพระองค์ทรงทำบาปไว้มากเช่นทรงทำปิตุฆาต  วางแผนปลงพระชนม์พระเชษฐาด้วยเหตุหวังสมบัติ และทรงหลอกลวงพระมหาเถรปันธากูให้ไปลวงพระเชษฐามาฆ่า(ไพโรจน์ โพธิ์ไทร,ภูมิหลังของพม่า,กรุงเทพฯ:โอเดียนร์สโตร์,2518,หน้า 56)

 

              เราได้เห็นศิลปะเจดีย์ในอดีตจากพุกาม แต่ก็ยังอธิบายตามหลักวิชาไม่ได้เพราะไม่ได้ศึกษามาทางนี้ แต่มีคำตอบจากศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล ได้แบ่งศิลปะพม่าออกเป็น 5 ยุคคือ 
              1.ศิลปะปยุหรือพยู  ราวพุทธศตวรรษที่ 12-14 เมืองสำคัญคือเมืองไบก์ถาโน ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนกลางเมืองอาลิน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและเมืองศรีเกษตร หรือถะเยขิตตะยะ ตั้งอยู่ใกล้กับเมืองแปรใต้เมืองไบก์ถาโน      
              2. ศิลปะมอญ ได้แก่เมืองสุธัมมวดีหรือสะเทิมหรือถะทน ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ใกล้ปากแม่น้ำอิระวดี ส่วนเมืองหงสาวดีหรือพะโคนั้นสร้างขึ้นในราวกลางพุทธศตวรรษที่ 14
              3.ศิลปะพม่าที่เมืองพุกาม พุทธศตวรรษที่ 16-18 อาจแบ่งได้เป็นสองแบบต่อเนื่องกันคือ (1) อิทธพลของศิลปะมอญ (2) ศิลปะพม่าอย่างแท้จริง กองทัพมองโกลแห่งประเทศจีนตีเมืองพุกามได้ใน พ.ศ. 1830 
              4. ศิลปะสมัยเมืองอังวะหรือรัตนปุระ พุทธศตวรรษที่ 22-24
              5.ศิลปะสมัยหลังคือสมัยเมืองอมรปุระและมัณฑะเลย์ ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 24  จนถึงสมัยปัจจุบัน
              เมืองต่างๆเหล่านี้ล้วนตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำอิระวดีซึ่งเป็นแม่น้ำสายสำคัญของประเทศพม่ายกเว้นเมืองสะเทิม (ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล,ประวัติศาสตร์ศิลปะประเทศใกล้เคียง(พิมพ์ครั้งที่ 5),กรุงเทพฯ:มติชน,2549,หน้า 299)
              ดังนั้นหากจะศึกษาศิลปวัฒนธรรมของพระพุทธศาสนานอกจากอินเดียอันเป็นต้นกำเนิดแล้ว ในยุคหลังพุทธกาลก็ต้องไม่ลืมผนวกเอาอาณาจักรขอม มอญและพุกามเข้าไว้ด้วย
              ศิลปะเมืองพุกามเจริญรุ่งเรืองตามราชวงศ์พุกามถึง 243 ปี คาบเกี่ยวกับสมัยสุโขทัย จนกระทั่งเมื่อพุกามเสื่อมลงอาณาจักรสุโขทัยก็รุ่งเรือง เราจึงได้เห็นเจดีย์และพระพุทธศาสนาเถรวาทเกิดขึ้นในประเทศไทยสืบต่อมา แต่ทว่าเจดีย์ในเมืองไทยนั้นมีลักษณะที่แตกต่างไปบ้างจากเจดีย์ในพุกาม และไม่มีจำนวนมหาศาลขนาดที่เรียกว่าทะเลแห่งเจดีย์เหมือนในอาณาจักรพุกาม


              พุกามนั้นมองไปทางไหนเจอแต่เจดีย์ทั้งเล็กใหญ่ลดหลั่นสลับกันไปกินอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลจนสุดลูกตา มีคนเคยนับจำนวนเจดีย์ไว้ว่าน่ามีจำนวนเป็นหมื่นองค์ ไม่ทราบว่าพม่าสร้างเจดีย์ไว้ทำไม หลวงวิจิตวาทการเคยบอกไว้ในฟากฟ้าสาละวินว่า “พม่าไม่ได้สร้างเจดีย์แต่เฉพาะที่วัด เขาสร้างทุกหนทุกแห่ง การสร้างเจดีย์เป็นเครื่องหมายแห่งความมั่งคั่งมีหลักฐาน เป็นเครื่องหมายของเกียรติยศ (หลวงวิจิตวาทการ, ฟากฟ้าสาละวิน,กรุงเทพฯ:สร้างสรรค์บุ๊ค,หน้า 35) 
              ในขณะที่คนไทยที่มีฐานะมักจะสร้างศาลาการเปรียญหรือพระอุโบสถหรือพระพุทธรูป ดังนั้นพระอุโบสถของไทยจึงงดงาม ในขณะที่พม่าสร้างเจดีย์ ภายในเจดีย์มักจะมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่ มีที่จุดเทียนธูปบูชา สามารถนั่งพักผ่อนหรือปฏิบัติกรรมฐานได้ ภายในเจดีย์บางแห่งจะมีพระภิกษุกำลังนั่งบำเพ็ญเพียร ถ้าภิกษุรูปใดต้องการปลีกวิเวกอยู่ตามเจดีย์ต่างๆในพุกามของหาตัวไม่พบ พม่าสร้างเจดีย์ประดับเกียรติยศข้อนี้ฟังขึ้น เพราะกษัตริย์พุกามเองก็นิยมสร้างเจดีย์ประจำรัชกาล พระมหากษัตริย์ไทยสร้างวัดและพระพุทธรูปประจำรัชกาล เมืองไทยจึงมีพระพุทธรูปมากมาย

เท้ายืนบนพื้นอย่างเข้มแข็งแต่วิญญาณมุ่งตรงสู่สวรรค์

              กษัตริย์ในราชวงศ์พุกามมีความเชื่อในการสร้างเจดีย์นั้นมีหลักฐานดังเช่น พระเจ้าอลองสิทธูทรงมีชื่อเสียงว่าเป็นกษัตริย์ใจบุญ ดังจะเห็นได้จากจารึกร้อยกรองภาษาบาลีที่ปรากฏในศาสนสถานที่งดงามที่สุดที่ทรงสร้างเช่นเจดีย์ชเวกุกยีเป็นต้น จารึกนั้นสรุปเหตุการณ์ที่สำคัญในพุทธประวัติและคำสอนของพระองค์ และกล่าวต่อไปถึงพระประสงค์ของกษัตริย์ว่า “การสร้างเจดีย์ย่อมได้บุญมาก แต่หากมีโอกาสเลือกผลบุญได้ ข้าฯย่อมไม่เลือกผลบุญเป็นส่วนตัว แต่จะแผ่ส่วนบุญให้ทุกชีวิต ข้าฯไม่ปารถนาจะเกิดเป็นพราหมณ์ เป็นเทพเจ้าที่ยิ่งใหญ่หรือเป็นวีรบุรุษ หรือข้าฯขะต้องการเกิดใหม่เป็นกษัตริย์ผู้มีอำนาจก็หาไม่  ข้าฯไม่สวดวิงวอนแม้แต่ขอให้เป็นพระอรหันต์ ข้าฯปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อข้าฯปรารถนาจะสร้างบารมีให้พ้นการเวียนว่ายตายเกิดเพื่อช่วยดึงมนุษยชาติที่กำลังเสื่อมให้รอดพ้นขึ้นมาและนำเขาเหล่านั้นไปยังนครแห่งความสงบชั่วนิรันดร์” (หม่องทินอ่อง,หน้า 46) 
              แม้แต่พระเจ้าอโนรธาก็ทรงสร้างเจดีย์ใหญ่ๆถึงสี่แห่งคือเจดีย์ชเวสิกอง เจดีย์ชเวซันดอ เจดีย์โลกนันทะ เจดีย์มยินกบา (Paul Strachan,Pagan,Scotland:Kiscadale,1990 p.42) ถ้ากษัตริย์แต่ละพระองค์สร้างเจดีย์เพียงพระองค์ละห้าเจดีย์ก็เกือบร้อยแล้ว รวมกับข้าราชชั้นผู้ใหญ่ พ่อค้า คฤหบดีอีกก็น่าจะเป็นเจดีย์นับพันองค์แล้ว


              ภายในเจดีย์โดยทั่วไปนั้นมักจะมีเสาปูนใหญ่เสาหนึ่งอยู่ตรงกลางเป็นที่รับน้ำหนักยอดเจดีย์ ทั้งสี่ด้านของเสานี้มีพระพุทธรูปใหญ่ตั้งหันหลังชนกัน มีระเบียงสี่ด้านมุ่งมาสู่ห้องนี้ ฝาผนังทุกด้านประดับด้วยภาพเขียนที่มีสีสันสดใสลายดอกไม้ เทพบุตร เทพธิดา และภาพพุทธประวัติ ตลอดจนชาดกต่างๆ บางครั้งก็มีภาพต่างๆของพระพุทธเจ้า จารึกอันหนึ่งกล่าวไว้ว่า มีภาพพระพุทธเจ้าประมาณ 14619 ภาพ วาดไว้บนกำแพงวัด มีที่เก็บอัฏฐิใต้ฐานเจดีย์รูปทึบ และตรงกลางในเจดีย์แบบกลวง ช่องเหล่านั้นปิดตายก่อนสร้างเจดีย์เสร็จ ในหอพระธาตุมีพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าและพระพุทธรูปเล็กๆ เป็นทอง เงิน งาช้าง แก้วและมณีมีค่าทั้งหลาย ทั้งสถูปและเจดีย์ตั้งบนฐานเตี้ยๆ ที่มั่นคง และปลายยอดแหลมทำให้เจดีย์แลเสมือนพุ่งไปสู่ท้องฟ้า ดังนั้นเจดีย์แต่ละแห่งแสดงลักษณะของชาวพุกามคือเท้ายืนบนพื้นอย่างเข้มแข็งแต่วิญญาณมุ่งตรงสู่สวรรค์ (หน้า 58) เป็นความเชื่ออย่างหนึ่งตามหลักคำสอนของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพราะชาติก่อนทำบุญมาน้อยจึงต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ ชาตินี้ไม่เป็นไร แต่ชาติต่อไปขอเกิดในที่ที่ดีกว่า จึงเป็นหลักปรัชญาในการมองไปข้างหน้ามากกว่าที่จะมองย้อนไปในอดีต

              การสร้างวัดและเจดีย์ในยุคแรกเกิดจากศรัทธาซึ่งแตกต่างจากการสร้างปราสาทในนครวัดที่เกิดจากพระราชอำนาจหม่อยงทินอ่องยืนยันไว้ว่า “วัดต่างๆในพุกามนั้นมิได้เกณฑ์แรงงานคนมาสร้าง เป็นศรัทธาที่บริสุทธิ์และสามัญง่ายๆ และเมื่อสร้างวัดเสร็จแล้วก็อุทิศเป็นสมบัติสาธารณะ ผู้สร้างมักดูแลให้คนงานได้รับค่าจ้างและสวัสดิการที่ดี เพราะความสำเร็จในการสร้างขึ้นอยู่กับคนงานเหล่านั้น วัดต่างๆอาจสร้างโดยสมาคมซึ่งทุกคนมีเสรีภาพและเสมอภาคทั่วกัน (หน้า 58) แต่วัดที่เกณฑ์คนมาสร้างก็มีเช่นสมัยพระเจ้านรสุขึ้นครองราชย์ พระองค์ทรงให้สร้างเจดีย์ใหญ่นามว่าธัมมยังจี โดยการเกณฑ์ประชนมาสร้าง ซึ่งนับว่าเป็นเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในพม่า
              ขอมเกณฑ์คนมาสร้างปราสาทหิน แต่พุกามสร้างเจดีย์ด้วยพลังศรัทธา 

 เริ่มที่อานันทเจดีย์แต่ไม่มีจุดจบ

               วัดแรกที่ได้ยลคืออานันทวิหาร ตามประวัตกล่าวไว้ว่าสร้างขึ้นโดยพระเจ้าจันสิตตาหรือพระเจ้าครรชิต สาเหตุที่สร้างเพราะความเมตตาจากพระสงฆ์จากอินเดีย 8 รูปซึ่งลี้ภัยจากการกดขี่ของฮินดูมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารและได้พรรณาถึงพระอารามที่ภูเขานันทมูลในอินเดีย จนเป็นแรงบันดาลใจให้พระเจ้าจันสิตตาสร้างวิหารขึ้นในปีพุทธศักราช 1634 ตามแบบวัดนันทมูลและพระราชทานนามว่าอานันทวิหาร และอีกนัยหนึ่งอาจจะมาจากคำว่า “อนันต์” อันบ่งบอกถึงว่าวิหารนี้จะคงอยู่คู่พุกามเป็นนิรันด์รตลอดอนันตกาล  หรือมาจากนามของพระอานนท์พุทธอุปัฏฐาก  อานันทวิหารเป็นพระเจดีย์ที่สามารถเดินเข้าไปข้างในได้ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสมีมุขยื่นทั้งสี่ทิศ ประตูทางเข้าเป็นประตูโค้ง  สองข้างทางมีร้านค้าขายของที่ระลึก ด้านนอกมีสระน้ำทั้งสี่ด้าน หากมองที่ขอบสระสามารถเห็นเงาสะท้อนของวิหารได้อย่างชัดเจน อันจะเกิดความงามอย่างประหลาด ความรู้เรื่องสระน้ำนี้ต้องจ่ายเงินหนึ่งพันจั๊ตเพื่อซื้อภาพเจดีย์ในพุกามจากเด็กพม่านามว่าหม่องจาโม  แต่วันที่ได้ไปดูนั้นอากาศร้อนมาก ต้องเดินเท้าเปล่ากลางเปลวแดดไปยังสระน้ำ ช่างเป็นความทรมานที่เปี่ยมสุข

              ด้านในองค์เจดีย์ องค์วิหารมีความกว้างด้านละ 61 เมตรสูง 51 เมตร ภายในเป็นอุโมงค์เดินถึงกันได้โดยรอบ ภายในองค์เจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนแกะสลักจากไม้สูง 9.50 เมตรทั้งสี่ด้านอันหมายถึงพระพุทธเจ้าทั้งสี่คือด้านทิศเหนือได้แก่พระกกุสันโธพุทธเจ้า  ทิศตะวันออกพระโกนาคมน์พุทธเจ้า ทิศใต้คือพระกัสสปพุทธเจ้า ที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่าพระยิ้มพระบึ้ง เพราะถ้ามองห่างๆจะเห็นเหมือนท่านกำลังยิ้ม แต่พอเข้าใกล้พระพักตร์ท่านกลับเรียบเฉยเหมืออยู่ในสมาธิ  ส่วนทิศตะวันตกคือพระโคตมพุทธเจ้า 
              เจดีย์องค์แรกพอจดจำจากการบรรยายและอ่านจากป้ายประวัติของวัดได้ แต่พอวัดต่อๆไปเริ่มมึนงงสับสนได้แต่ถ่ายภาพจากป้ายหน้าวัดซึ่งด้านหน้าเป็นภาษาพม่า แต่มีลูกศรเล็กที่ดานข้างแผ่นป้ายว่าภาษาอังกฤษอยู่ด้านหลัง ทำให้อดนึกไม่ได้ว่าบ้านนี้เมืองนี้ช่างรังเกียจอังกฤษเสียจริง แม้แต่ภาษาก็ไม่อยากจะนำมาแสดงไว้ด้านหน้า 


              มีใครบางคนในคณะถึงกับถ่ายภาพเจดีย์พินยาทุกแง่มุม เพราะท่านบอกว่าได้คำตอบแล้วว่ายอดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ที่สมบูรณ์ควรจะเป็นอย่างไร เพราะรูปทรงเจดีย์ทุกอย่างคล้ายคลึงกัน ผิดกันแต่ว่าเจดีย์หลวงไม่มียอด แต่เจดีย์พินยามียอดที่สมบูรณ์ หากคิดจะบูรณะซ่อมแซมควรยึดตามแบบเจดีย์พินยาในพุกาม  
              การเที่ยวชมเจดีย์ในพุกามนั้นปัจจุบันมีให้บริการหลายทางเช่นรถยนต์ นั่งรถม้า ปั่นจักรยาน มอเตอร์ไชด์และวิธีหนึ่งที่ย้อนยุคมากที่สุดคือนั่งเกวียนชมเจดีย์  บางแห่งต้องอาศัยช่วงเวลาจึงจะเกิดความงามเช่นเจดีย์ชเวซันดอ ต้องดูช่วงพระอาทิตย์ขึ้นหรือช่วงเย็นพระอาทิตย์ตกจะงดงามเป็นพิเศษ ยิ่งถ้าได้ขึ้นไปบนเจดีย์แล้วมองลงมาพร้อมกับดวงอาทิตย์ที่กำลังเคลื่อนลงทางทิศตะวันตก แสงสีทองค่อยๆจางหายไป เงาทะมึนแห่งเจดีย์เหมือนหนึ่งกำลังสถิตย์อยู่อยู่ในสรวงสวรรค์วิมาน


              วัดสถูปเจดีย์จำนวนมากเหล่านี้หากจะเข้าชมพร้อมทั้งศึกษาประวัติคงต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีแต่เรามีเวลาเพีบยงหนึ่งวันครึ่งจึงเข้าชมได้เพียงบางแห่งเช่นอานันทเจดีย์ เจดีย์ธาตุพินยา เจดีย์จุฬามณี  เจดีย์ธัมมยันยี เจดีย์ชเวซันดอร์  เจดีย์โลกนาถ  เจดีย์มนูหะ เจดีย์พูพยา พระอุโบสถอุปาลี และเจดีย์ชเวสิกองฯลฯ การท่องทัศนาดงเจดีย์ในครั้งนี้สุดท้ายเลยจำไม่ได้ว่าไปชมเจดีย์ใดบ้าง ใครเป็นผู้สร้าง และสร้างเมื่อปีพุทธศักราชเทาใด ได้แต่ถ่ายภาพประวัติของเจดีย์แต่ละแห่งเก็บไว้  และการเที่ยวชมในครั้งนี้สิ้นสุดลงที่เจดีย์องค์ไหน จำได้เพียงจุดเริ่มต้นที่อานันทเจดีย์  จึงเป็นการท่องเจดีย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุดดุจดั่งเป็นอนันตกาลนั่นแล

              อาณาจักรพุกามมีอำนาจอยู่ราว 243 ปี และสิ้นอำนาจลงเมื่อปีพุทธศักราช 1830 ตรงกับรัชกาลพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งราชวงศ์สุโขทัย  พระสงฆ์มักจะมีอิทธิพลควบคู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด แม้แต่ฝรั่งก็ยังมีบันทึกไว้ว่า  “สถาบันคู่ขนานของรัฐบาลพม่าคือความเชื่อในพระพุทธศาสนาและคณะพระสงฆ์ ตามปกติสถาบันนี้จะอยู่ในฐานะที่ด้อยกว่า แต่เมื่อใดที่รัฐอ่อนแอ สถาบันนี้ก็จะอยู่ในฐานะที่ท้าทายอำนาจรัฐทันที ทั้งนี้เพราะสถาบันสงฆ์ใกล้ชิดประชาชนมากกว่าและไม่มีท่าทีคุกคามอีกด้วย ดังนั้นแม้ราชวงศ์จะเปลี่ยนไปเช่นไร ในพม่าตอนกลางสถาบันสงฆ์เปรียบเสมือนสถาบันที่รักษาไว้ซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทางวัฒนธรรมและปราศจากผู้โต้แย้งหรือท้าทาย (โรเบิร์ต เอช.เทย์เลอร์,พรรณงาม เง่าธรรมสาร แปล,รัฐในพม่า,กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย,2550,หน้า 22)

กษัตริย์ราชวงศ์พกาม

 

              หม่องทินอ่องได้ระบุรายนามของกษัตริย์ในราชวงศ์พุกามไว้ดังนี้ (หม่องทินอ่ง,หน้า 345)
              1.พระเจ้าอนุรุท  ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1587 - 1620 
              2.พระเจ้าสอลู (Sawlu) หรือ มังลูลาน (Man Lulan) ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1620 - 1627 
              3. พระเจ้าครรชิต ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1627 – 1655 
              4.พระเจ้าอลองสิธู  ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1655 - พ.ศ. 1710 
              5.พระเจ้านรสุ  ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1710 - 1713 
              6.พระเจ้านรสิงห์ ครองราชย์ระหว่างปี  พ.ศ. 1713 - 1716 
              7.พระเจ้านรปติสิทธุ ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1716 - 1753 
              8.พระเจ้านะดวงมยา ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1753 - 1777 
              9.พระเจ้ากยัสสวาร  ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1777 - 1793 
              10.พระเจ้าอุชานะ  ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ. 1793 - 1797
              11.พระเจ้านรสีหบดี ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.1797-1830
              12.พระเจ้ากยอชวา ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.1830-1841
              13.พระเจ้าสอนิท ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.1841-1855

 

                ประวัติศาสตร์แม้จะเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว แต่บางช่วงในปัจจุบันกลับมีส่วนคล้ายคลึงกับยุคสมัยในอดีต พม่านั้นมีเมืองหลวงมากมาย ผลัดเปลี่ยนกันเรืองอำนาจและล่มสลายไปเริ่มจากเมืองพุกาม(พ.ศ.1587-1855) เมืองปินยา (1855-1907) เมืองสะกาย(1858-1907)เมืองอังวะ(1907-2098)เมืองหงสาวดีมอญ(1830-2082)หงสาวดีพม่า (2082-2300)ตองอู(2029-2296)ชเวโบ (2295-2306) อังวะ(2306-2326) อมรปุระ (2326-2402)มัณฑะเลย์(2402-2428) พม่าเสียเอกราชให้กับอังกฤษและการปกครองด้วยกษัตริย์ก็สิ้นสุดลงในรัชสมัยของพระเจ้าสีบอ จากนั้นจึงย้ายเมืองหลวงมาที่ย่างกุ้ง ปัจจุบันย้ายเมืองหลวงใหม่ไปที่กรุงเนปิดอ เรื่องปีพุทธศักราชถือตามหนังสือประวัติศาสตร์พม่าของหม่องทินอ่อง 

               ยุคแห่งความรุ่งเรืองและความเสื่อมถอยย่อมแปรเปลี่ยนไปตามกาลเวลา พม่าเคยมีกษัตริย์ปกครอง แต่ปัจจุบันปกครองด้วยทหาร ในขณะที่ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบกษัตริย์มาโดยตลอด แต่สิ่งหนึ่งที่เมียนมาร์ยังคงเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมไว้ได้นั่นความความศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทุกวันเรายังคงเห็นชายชาวเมียนมาร์นุ่งโสร่ง สุภาพสตรีนุ่งผ้าถุงไปวัดกันแทบทุกแห่งโดยเฉพาะที่เจดีย์ชเวดากองอันเปรียบเสมือนศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณของพุทธศาสนิกชนชาวเมียนมาร์

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
เรียบเรียง
พิมพ์เผยแผ่ที่ www.mbu.ac.th เมื่อ 20/03/52
แก้ไขปรับปรุงใหม่ 16/02/53

บรรณานุกรม

ไพโรจน์ โพธิ์ไทร,ภูมิหลังของพม่า,กรุงเทพฯ:โอเดียนร์สโตร์,2518.
โรเบิร์ต เอช.เทย์เลอร์,พรรณงาม เง่าธรรมสาร แปล,รัฐในพม่า,กรุงเทพฯ: มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย,2550.
ศาสตราจารย์ หม่อมเจ้าสุภัทรดิศ ดิศกุล,ประวัติศาสตร์ศิลปะประเทศใกล้เคียง(พิมพ์ครั้งที่ 5),กรุงเทพฯ:มติชน,2549.
หม่องทินอ่อง(เพ็ชรี สุมิตร แปล ,ประวัติศาสตร์พม่า,กรุงเทพฯ:มูลนิธิโตโยต้าประเทศไทย,2551.
หลวงวิจิตวาท,ฟากฟ้าสาละวิน,กรุงเทพฯ:สร้างสรรค์บุ๊ค,2493.
อาทร จันทรวิมล,ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย,กรุงเทพฯ:จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,2548.
Paul Strachan,Pagan,Scotland:Kiscadale,1990.

  

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก