ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

  ใครที่เคยเข้าไปภายในพระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร  หากสังเกตให้ดีจะพบว่านอกจากพระประธานที่โดดเด่นเป็นสง่าแล้ว ตามผนังพระอุโบสถจะประดับประดาไปด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังอันงดงาม  วัดบวรนิเวศวิหารเป็นวัดประจำรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ผ่านความเจริญรุ่งเรืองมาโดยลำดับ มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยปัจจุบันตั้งอยู่ภายในวัดบวรนิเวศวิหาร จัดการศึกษาในระดับอุดมศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรีถึงปริญญาเอก วัดบวรมีความสำคัญหลายด้าน แต่สิ่งหนึ่งที่น่าศึกษาอย่างยิ่งคือจิตรกรรมฝาผนัง  
               คำว่า “จิตรกรรม” พจนานุกรมศัพท์ศิลปะได้ให้คำนิยามไว้ว่า จิตรกรรมหมายถึงภาพที่แต่ละบุคคลสร้างขึ้น ด้วยประสบการณ์ทางสุนทรียภาพและความชำนาญ โดยใช้สีชนิดต่างๆ เช่นสีน้ำ สีน้ำมัน สีฝุ่น เป็นสื่อกลางในการแสดงออกถึงเจตนาในการสร้างสรรค์ การสร้างงานจิตรกรรม จะสร้างงานบนพื้นราบเป็นส่วนใหญ่ (ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมศัพท์ศิลปะ อังกฤษ-ไทย,กรุงเทพ ฯ : เพื่อนพิมพ์,2530, หน้า 134)
               จิตรกรรมไทยเป็นวิจิตรศิลป์อย่างหนึ่ง  ซึ่งมักแสดงเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนา ประวัติศาสตร์ โบราณคดี ชีวิตความเป็นอยู่  วัฒนธรรมการแต่งกาย การแสดงการละเล่นพื้นเมืองต่างๆ และสาระอื่นๆ ของแต่ละยุคให้ปรากฏ ซึ่งนอกจากจะส่งผลสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมอันดีงามของชาติแล้ว ยังมีคุณค่าทางศิลป์ที่ช่วยเสริมสร้างสุนทรียภาพขึ้นในจิตใจมวลมนุษย์ได้ และเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดี  (ประเสริฐ  ศีลรัตนา, สุนทรียะทางทัศนศิลป์,กรุงเทพ ฯ:สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์,2542,หน้า  119) 
             จิตรกรรมฝาผนัง เป็นศิลปะที่มีค่ายิ่งประเภทหนึ่งที่มีมาตั้งแต่โบราณกาล ซึ่งนิยมเขียนกันตามผนังภายพระอุโบสถ พระวิหาร พระมณฑป พระปรางค์ พระระเบียง พระสถูปเจดีย์ ศาลาการเปรียญ และปราสาท พระราชวัง ตลอดจนผนังถ้ำ และเผิงผา ซึ่งเรียกว่า จิตรกรรมฝาผนัง (Mural Painting) 
 

 

 

ความมุ่งหมายในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง
            ความหมายและมูลเหตุในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้น เกิดจากแนวความคิดที่ว่า เมื่อมีกิจพิธีอย่างใดอย่างหนึ่ง ฝาผนังเหล่านั้นมักจะได้รับการตกแต่งโดยมีผ้าปิดทับ ด้วยเหตุนี้กระมัง จึงเป็นที่มาของการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง
            ลักษณะของการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังของไทยสมัยโบราณ ส่วนมากมักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชาดก เรื่องพระพุทธประวัติ ที่ล้วนเกี่ยวพันกับรพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ส่วนเรื่องวรรณคดีนั้น มีอยู่น้อย
            การเขียนภาพในพระอุโบสถหรือวิหาร นอกจากจะเขียนขึ้นเพื่อประดับตกแต่งแล้ว จิตรกรหรือผู้ที่ให้เขียนภาพนั้น ต้องการจะให้ภาพที่เขียนเป็นเครื่องโน้มน้าวจิตใจของผู้ชม ให้บังเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา และได้ประกอบแต่คุณงามความดี จิตรกรเองจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับพุทธประวัติเป็นอย่างดี ดังจะเห็นได้จากภาพเขียนเหล่านั้น




ลักษณะของภาพจิตรกรรมของไทย
            ภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังของไทย มีลักษณะเฉพาะของไทยเอง ซึ่งไม่เหมือนกับของประเทศในเอเซียอาคเนย์ หรือประเทศใด ๆ เลย จิตรกรรมฝาผนังจะเป็นลักษณะแบนราบ ไม่มีส่วนลึกของภาพที่เราเรียกว่า “Perpective” เช่น ภาพที่อยู่ไกลจะมีลักษณะที่เล็กกว่า ภาพเขียนจึงมีเพียง 2 ลักษณะ คือ กว้างและยาวเท่านั้นเอง แต่เป็นภาพเขียนที่จิตรกรได้พยายามใช้ความสามารถที่จะเขียนให้รู้ว่าบุคคลไหนเป็นตัวเอกของเรื่อง นอกจากนั้นภาพเขียนยังแสดงออกหรือสะท้อนให้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนในยุคนั้น ๆ

คุณค่าของจิตรกรรมฝาผนัง
            คุณค่าของภาพจิตรกรรมฝาผนังนั้นขึ้นอยู่กับผู้ที่จะศึกษาหาความรู้จากภาพเหล่านั้น การศึกษาอาจแบ่งได้หลายแง่หลายมุม อาทิ การศึกษาถึงศิลปความงาม สภาพความเป็นอยู่ การสร้างบ้านแปลงเรือน ชีวิตของสังคมประจำวันของกษัตริย์ของคนในราชสำนักรวมไปถึงบุคคลธรรมดา ตลอดจนจารีตประเพณีของคนในสมัยโบราณ ฯลฯ ซึ่งจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี้จะสะท้อนให้เห็นว่า เรื่องราวความเป็นอยู่ในสมัยที่ตนยังมีชีวิตอยู่ จิตรกรเองใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะอธิบายชีวิตทุกแง่ทุกมุม ตลอดจนภาพธรรมชาติแวดล้อมลงไปในภาพจิตรกรรมนั้นด้วย

ลักษณะการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนัง
            ลักษณะในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังของไทยในสมัยโบราณ มีด้วยกัน 2 แบบ คือ
            1. การเขียนแบบสีฝุ่น (Tempera) ซึ่งมีวิธีการที่ซับซ้อนมาก ผนังที่ใช้เขียนจะต้องไม่มีความเค็มของปูน ในสมัยโบราณใช้ใบขี้เหล็กตำ ผสมน้ำราด จนกว่าจะหมดความเค็มของปูน ซึ่งจะทราบได้โดยการใช้ขมิ้นทา ถ้าขมิ้นเป็นสีแดงอยู่ ก็ต้องใช้น้ำใบขี้เหล็กราดต่อไป เมื่อผนังหมดความเค็มก็ต้องรอให้ผนังนั้นแห้งสนิท จึงจะลงมือเขียนภาพได้
            2. วิธีเขียนแบบปูนเปียก (Fresco) การเขียนแบบปูนเปียกนี้ คือ การเขียนภาพลงบนปูนที่ยังไม่แห้ง ซึ่งจะทำให้สีอยู่ทนถาวร ซึ่งชาวไทยรู้จักการเขียนภาพแบบนี้มาจากชาวจีน
            การเขียนภาพแบบนี้ คนไทยในสมัยโบราณไม่นิยม เพราะลักษณะภาพเขียนหรือจิตรกรรมฝาผนังของไทยต้องใช้ความประณีตมากและต้องใช้เวลา จึงไม่เหมาะกับการเขียนแบบนี้ การเขียนภาพบนปูนเปียกเหมาะที่จะเขียนภาพขนาดใหญ่ รายละเอียดน้อย
            การใช้สีในสมัยโบราณคนไทยรู้จักการทำสีขึ้นใช้เอง โดยได้มาจากธรรมชาติ เช่น รากไม้ ใบไม้ เปลือกไม้ และดิน 

 ยุคสมัยของจิตรกรรมฝาผนัง

            จิตรกรรมฝาผนังที่เขียนขึ้นโดยจิตรกรในประเทศไทย เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยทวารวดี สมัยศรีวิชัย สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี และสมัยรัตนโกสินทร์  การเขียนจิตรกรรมมีวิวัฒนาการมาโดยตลอด จากความเรียบง่ายมาเป็นความสลับซับซ้อนของภาพ ซึ่งต้องอาศัยฝีมือของจิตรกรอย่างมาก
         จิตรกรรมที่ปรากฏในวัดต่างๆมีหลายประเภทเช่นเรื่องราวจากชาดก พุทธประวัติ  พระโพธิสัตว์ การบำเพ็ญตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา วิถีชีวิต ไตรภูมิ และวัฒนธรรมประเพณี  จะเขียนไว้ตามฝาผนังพระอุโบสถ พระวิหาร หรือภายในองค์พระเจดีย์เป็นต้น มีลักษณะพิเศษในการจัดวางภาพแบบเล่าเรื่องเป็นตอนๆตามผนังช่องหน้าต่างโดยรอบพระอุโบสถและวิหาร ผนังด้านหน้าพระประธานส่วนใหญ่นิยมเขียนภาพพุทธประวัติตอนมารผจญและผนังด้านหลังพระประธานเขียนภาพพุทธประวัติตอนเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์และบางแห่งเขียนภาพไตรภูมิ(ประเสริฐ  ศีลรัตนา, สุนทรียะทางทัศนศิลป์, กรุงเทพ  ฯ :สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์, 2542,หน้า 120) 


           พระมหาอำพลได้สรุปงานจิตรกรรมไว้ว่า “จิตรกรรมฝาผนังที่จิตรกรไทยในสมัยโบราณได้สร้างสรรค์ไว้ตามผนังโบสถ์และวิหารของวัดต่างๆในประเทศไทยนั้น ส่วนใหญ่เป็นเรื่องราวในพระพุทธศาสนาเช่นเรื่องราวพุทธประวัติ ประวัติพระสาวกไตรภูมิกถา บาลีชาดก ซึ่งถือว่าเป็นวรรณกรรมอันทรงคุณค่าในทางพระพุทธศาสนา และเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่สร้างแรงบันดาลใจให้จิตรกรไทยใช้สร้างงานจิตรกรรมฝาผนังไว้ตามวัดต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน (พระมหาอำพล   บุดดาสาร,การศึกษาวิเคราะห์พุทธปรัชญาและพุทธศิลป์จากภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องบาลีชาดกวัดเครือวัลย์วรวิหาร,วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต  สาขาพุทธศาสนศึกษา  คณะศิลปศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2546)     
             จิตรกรรมไทยในปัจจุบันมีหลายรูปแบบเช่นจิตรกรรมไทยประเพณี มีลักษณะเป็นแบบอุดมคติ คุณค่าอยู่ที่รูปแบบอันได้สัดส่วนสวยงาม อาภรณ์อันวิจิตร  การตัดเส้นที่ละเอียดประณีต มีการจัดองค์ประกอบภาพอย่างมีระเบียบแบบแผน ซึ่งเกิดจากความพากเพียรและพลังแห่งความบันดาลใจ มีส่วนสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา นิยมวาดบนฝาผนังโบสถ์ วิหาร ศาลา และสมุดข่อย สร้างขึ้นเพื่อสื่อความหมายเกี่ยวกับเรื่องศาสนา ความเชื่อ (มัย  ตติยะ,สุนทรียภาพทางทัศนศิลป, กรุงเทพฯ:วาดศิลป์,2547, หน้า199)

การสร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยในสมัยต่างๆ
สมัยสุโขทัย:รุ่งอรุณแห่งความสุข

             คำว่า “สุโขทัย” แปลว่า “รุ่งอรุณแห่งความสุข” หมายถึง เป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตไทยที่เปี่ยมสุข เนื่องจากสุโขทัยเป็นราชธานีของไทยแห่งแรกในยุคประวัติศาสตร์ไทย มีการปกครองแบบ “พ่อปกครองลูก” ที่มีความร่มเย็นเป็นสุข มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร ดังคำกล่าวว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว “ จึงนับว่าเป็นนิมิตรหมายอันดีในการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมที่มีคุณค่าต่อตนเองและสังคมส่วนรวมได้การปฏิรูปจิตรกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ 
 


               งานจิตรกรรมในสมัยสุโขทัยที่ปรากฏหลักฐานตกทอดมาจนถึงปัจจุบัน น้อยกว่างานประติมากรรม และสถาปัตยกรรม ที่มีผลงานหลงเหลือมาจนถึงทุกวันนี้ ได้แก่ ภาพแกะสลักลายเส้นแบบเซาะร่องลึกบนแผ่นหินที่วัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย และจากการศึกษาพบว่านิยมเขียนภาพลายเส้นดอกไม้ และลวดลายธรรมชาติ โดยใช้สีน้อยมาก ได้แก่ สีขาว สีดำ และสีแดง

ลายกนกอยุธยา
               ศิลปะอยุธยามีระยะเวลาสร้างสรรค์ที่ยาวนานถึง 417 ปี (พ.ศ. 1993-2310) และแผ่ความเจริญมาครองคลุมในภาคกลางของประเทศไทย มีงานจิตรกรรมที่นิยมเขียนลวดลายกระหนกที่มีความอ่อนช้อยงดงาม ทั้งกระหนกเปลว และกระหนกก้านขด และมีการประดิษฐ์ลายเครือเถาทั้งลายดอกพุดตาน ลายดอกบัว และผักกูด ลายรดน้ำที่มีชื่อเสียง และงดงามที่สุด คือลายบานประตูตู้พระธรรม วัดเชิงหวาย
               สำหรับจิตรกรรมฝาผนังนิยมเขียนด้วยสีฝุ่นด้วยเทคนิคปูนแห้ง แสดงถึงเรื่องราวตามความศรัทธาเชื่อถือทางพระพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ์ เขียนเป็นภาพทิวทัศน์ที่สะท้อนชีวิตความเป็นอยู่ และธรรมชาติสภาพแวดล้อมที่เป็นบ้านเรือน แม่น้ำลำคลองในยุคสมัยนั้น ซึ่งจะมีคุณค่าอย่างสูงทั้งทางด้านความงาม ศิลปวัฒนธรรม และคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่แผงอยู่ในงานจิตรกรรม จึงมีการใช้สีเพิ่มขึ้นจากสมัยสุโขทัยอีกหลายสี เช่น สีเขียว สีม่วง และสีฟ้า เป็นต้น


              ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ยังหลงเหลือให้เราได้เห็น ความวิจิตรสวยงามนั้นเป็นสกุลช่างของ กรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ จิตรกรรมฝาผนังในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้นนั้น ปรากฏว่าถูกทำลายลงไปเสียมาก
              จิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม และสมบูรณ์ที่ยังหลงเหลือให้เราเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ ส่วนมากอยู่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ ซึ่งจิตรกรในสมัยต้นรัตนโกสินทร์นี้ เข้าใจว่าคงจะมีชีวิตอยู่ในสมัยอยุธยานั่นเอง หลังจากเสียกรุงแก่ข้าศึกแล้ว ก็คงดำเนินงานตามแบบที่ตนถนัดต่อมาในต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ข้อมูลจากหนังสือ พุทธประวัติจากจิตรกรรมฝาผนังไทย  

 

จิตรกรรมฝาผนังสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
                ผลงานจิตรกรรมฝาผนังในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้นถือว่าจิตรกรรมแบบประเพณีไทยได้พัฒนามาถึงขันที่สมบูรณ์สูงสุด สอดคล้องกับความจริงว่าจิตรกรรมที่เขียนในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเหล้าเจ้าอยู่หัวมีตัวอย่างมากแห่ง  จิตรกรรมที่วาดตามแบบอย่างประเพณีไทยมีสามแบบคือ (1) ผนังระหว่างช่องหน้าต่าง วาดภาพพุทธประวัติเรียงกันไปจนรอบผนังทั้งสี่ด้าน  เหนือช่องหน้าต่างขึ้นไปแบ่งเป็นแถว ๆ วาดภาพเทพชุมนุม เหนือขึ้นไปเป็นภาพฤาษีหรือนักสิทธิ์เหาะลอยอยู่ในอากาศเสมือนมานมัสการพระพุทธรูปที่เป็นประธานของอุโบสถ หรือพระที่นั่ง  การจัดวางภาพลักษณะนี้ปรากฎที่ผนังพระที่นั่งพุทไธสวรรค์  (2) ผนังช่องหน้าต่างวาดภาพเกี่ยวกับทศชาติชาดกได้แก่เตมิยราชชาดก  มหาชนกชาดก  สุวรรณสามชาดก เนมิราชชาดก มโหสถชาดก ภุริทัตชาดก จันทกุมารชาดก (3) การวางตำแหน่งภาพไม่เป็นระบบระเบียบตายตัวเหมือนสองแบบแรก แต่จะวาดตามผนังทั้งสี่ด้านและด้านเสาเป็นเรื่องต่างๆกันไปจนเต็มผนังเช่นผนังวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวนาราม  

               กรุงรัตนโกสินทร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2325 นับจนถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 200 กว่าปีแล้ว ผลงานจิตรกรรมไทยสมัยรัตนโกสินทร์ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากจิตรกรรมอยุธยาคือการเขียนภาพลายรดน้ำซึ่งใช้สำหรับตกแต่งบานประตู หน้าต่างในวัดวาอาราม มีการสร้างสรรค์อย่างแพร่หลาย ในสมัยนี้ แต่คุณค่าทางด้านฝีมือยังด้อยกว่าสมัยอยุธยา ในเรื่องความรู้สึกพลิ้วไหวและความมีชีวิตชีวา 
               นอกจากนี้ งานประดับมุขก็เป็นงานประณีตศิลป์ ที่ได้รับอิทธิพลตกทอดมาจากสมัยอยุธยา เช่นเดียวกัน และฝีมือประณีตไม่แพ้กัน ซึ่งสามารถหาดูได้ที่บานประตูโบสถ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดราชบพิธ สถิตมหาสีมาราม และพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท 
               ทางด้านงานจิตรกรรมฝาผนังได้มีวิวัฒนาการมาตามลำดับจากสมัยอยุธยา จนถึงสมัย     รัตนโกสินทร์ มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังกันมาก และมีการพัฒนาฝีมือถึงขั้นเรียกว่า เจริญสูงสุด (Classic) งานจิตรกรรมไทยที่รักษารูปแบบ และสีสันเป็นภาพสองมิติ และแสดงฝีมือการตัดเส้นที่งดงามแบบดั้งเดิมที่เรียกกันว่า “จิตรกรรมไทยประเพณี” ช่างเขียนฝีมือชั้นครูในสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 คือ “พระอาจารย์นาค” ได้สร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยประเพณีไว้มากมาย ในปัจจุบันนี้หาดูได้ที่หอไตรของวัดระฆังโฆสิตารามวรวิหาร และยังมีงานจิตรกรรมฝาผนังของช่างเขียนแบบไทยประเพณีอีกหลายแห่ง เช่น ที่วัดราชสิทธารามราชวรวิหาร วัดสุวรรณารามวรวิหาร วัดสระเกศาราชวรมหาวิหาร วัดทองธรรมชาติวรวิหาร และพระที่นั่งพุทไธสวรรย์เป็นต้น 

 

              นอกจากนี้ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงโปรดให้จัดทำ “สมุดไทย” ซึ่งเป็นการเขียนภาพจิตรกรรมกระดาษสมุดไทยที่มีชื่อเสียงและเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ตกทอดมาจนถึงทุกวันนี้ ที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ คือ สมุดไทยของวัดบางขนุน อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เป็นภาพวาดตำราเจ็ดคัมภีร์ และประกอบวรรณกรรมเรื่องพระมาลัย และทศชาติชาดก และโดยเฉพาะ “สมุดตำรารำ” ที่ใช้ฝีมือช่างจิตรกรรมไทย ถ่ายทอดท่ารำนาฏศิลป์ไทยอันงดงามเป็นมรดกตกทอดทางศิลปวัฒนธรรมไทยมาจนถึงทุกวันนี้ จึงนับว่าศิลปะด้านทัศนศิลป์ไทย ได้บูรณาการเชื่อมโยงกับนาฏศิลป์ไทยมาช้านานแล้ว 
ขรัวอินโข่งกับผลงานจิตรกรรมไทยสามมิติ
               ในสมัยรัตนโกสินทร์นับเป็นยุคสมัยที่มีการปฏิรูปบ้านเมืองให้มีความเจริญทัดเทียมกับอารยประเทศ ประเทศไทยได้ติดต่อสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าอย่างเป็นทางการกับกลุ่มประเทศตะวันตกมาตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) จึงได้รับอิทธิพลทางศิลปกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านจิตรกรรมไทยจากศิลปะตะวันตกที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4 ) มีการสร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยในรูปแบบผสมผสานกับศิลปะสากลแบบตะวันตกมากขึ้น โดยเฉพาะช่างเขียนไทยที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้นคือ “ขรัวอินโข่ง” เป็นจิตรกรไทยคนแรกที่เขียนภาพจิตรกรรมไทยที่มีแสงเงาและความตื้นลึกแบบ 3 มิติ ซึ่งเป็นลักษณะเหมือนจริง และยังสะท้อนภาพชีวิตของชาวยุโรปอยู่งาน จิตรกรรมไทย นับว่าเป็นการบันทึกประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอยู่ในงานจิตรกรรมไทยอีกด้วย   ในสมัยรัชกาลที่สี่แนวคิดในการเขียนจิตรกรรมตามประเพณีได้เปลี่ยนไป โดยจิตรกรไม่นิยมวาดภาพตามประเพณีแต่หันมาวาดภาพที่เป็นปริศธรรมและวัฒนธรรมประเพณีแทนดังเช่นจิตรกรรมที่วัดบววรนิเวศวิหารโดยฝีมือการวาดของขรัวอินโข่ง
               ขรัวอินโข่งมีชื่อเดิมว่า “อิน” เป็นชาวเพชรบุรี เมื่อท่านบวชเป็นพระที่วัดราชบูรณะ กรุงเทพมหานคร และครองเพศบรรพชิตตลอดชีวิต ประชาชนจึงเรียกท่านจนติดปากว่า “ขรัวอินโข่ง” ซึ่งหมายถึง “พระภิกษุผู้สูงอายุ” หรือ “ภิกษุผู้ยิ่งใหญ่” ส่วนนามที่เรียกท่านเป็นทางการคือ “พระอาจารย์เดิม”ซึ่งท่านได้สร้างสรรค์งานจิตรกรรมไทยรับใช้เบื้องยุคคลบาทของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เริ่มตั้งแต่พระองค์ยังทรงผนวช จวบจนเสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นระยะเวลาอันยาวนาน

 


               ในระยะแรกขรัวอินโข่งยังเขียนภาพจิตรกรรมไทยเป็นแบบดั้งเดิม คือนิยมเขียนภาพเกี่ยวกับชาดก และพระพุทธศาสนาเป็นภาพแบบ 2 มิติ เช่น ภาพยักษ์ หน้าลิง ภาพวาดที่วัดมหาสมณาราม และหอราชกรมานุสรเป็นต้น 
                ต่อมาท่านได้ศึกษารูปแบบงานจิตรกรรมตะวันตกจากงานภาพพิมพ์ที่แพร่หลายในหมู่มิชชันนารี และภาพที่ส่งมาจำหน่ายในเมืองไทยในสมัยนั้น แล้วนำมาประยุกต์ใช้พัฒนางานจิตรกรรมไทยเป็นภาพทิวทัศน์แบบตะวันตกโดยใช้ตัวละครและสถานที่แบบตะวันตก เช่น ภาพปริศนาธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหารและวัดบรมนิวาสเป็นต้น
               งานจิตรกรรมไทยของขรัวอินโข่ง ถึงแม้จะนำเอาแบบอย่างวิธีการเขียนภาพจากตะวันตกมาใช้ แต่ก็ยังแสดงความเป็นอัจฉริยภาพของจิตรกรไทยที่สร้างจินตนาการจากความคิดและความเชื่อของไทยที่เป็นอยู่เดิม โดยเฉพาะปรัชญาทางพระพุทธศาสนา เช่น ภาพปริศนาธรรมที่วัดบวรนิเวศวิหาร และภาพนมัสการพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ที่วัดมหาสมณาราม จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นงานชิ้นเดียวที่เขียนในจังหวัดบ้านเกิดเมืองนอนของท่านเอง     
 

 

 

 

 
               วิยะดา ทองมิตร กล่าวถึงคุณค่าของผลงานของขรัวอินโข่งไว้ว่า "ขรัวอินโข่ง วาดภาพเหมือนจริง และด้วยวิธีวาดแบบทัศนียวิสัย 3 มิติ ทำให้ภาพเกิดความลึก การใช้สีแบบ monochrome ที่ประสานกลมกลืนกัน ทำให้ภาพของขรัวอินโข่งมีบรรยากาศที่ชวนฝัน ทำให้ผู้ดูเกิดจินตนาการฝันเฟื่องตามไปด้วยไม่ว่าจะเป็นภาพวาดรูปต้นไม้ในป่า รูปต้นไม้และโขดเขาที่เพิงผาทางด้านผนังทิศเหนือ ด้านล่างที่มณฑป พระพุทธบาทวัด พระงามนั้นถึงจะไม่มีรูปบุคคลปรากฏอยู่ด้วยเลย แต่ภาพทั้งสองนี้ก็แลดูสวยด้วยธรรมชาติเพียงอย่างเดียว หรือภาพต้นสนที่เอนลู่ตามลมด้วยแรงพายุที่พัดอย่างแรงกล้านั้น ก็แลดูน่ากลัวสมจริงสมจังสัมพันธ์กับความน่ากลัวของภูตผีปีศาจที่มาขอส่วนบุญกับพระเจ้าพิมพิสาร
               ภาพวาดทุกภาพของขรัวอินโข่งแสดงให้เห็นถึงความประสานกลมกลืนของสีและบรรยากาศที่สลัว ๆ เสมือนกับทำให้ความคิดฝันที่ค่อนข้างเลือนลางนั้น ค่อย ๆ กระจ่างชัดในอารมณ์ รวมทั้งบรรยากาศที่อยู่ท่ามกลางขุนเขาและแมกไม้ที่ร่มครึ้ม ทำให้จิตใจเกิดจินตนาการคล้อยไปตามภาพที่ได้เห็น…เมื่อวาดภาพชีวิตทางยุโรป ขรัวอินโข่งจึงพยายามสร้างอารมณ์และบรรยากาศเป็นประเทศเมืองหนาวโดยใช้วิธีแบบทึมๆ 


    

           ขรัวอินโข่งจึงเป็นจิตรกรรมที่เขียนจิตรกรรมที่ต่างไปจากจิตรกรรมตามแบบประเพณี  ภาพที่วาดขึ้นแม้จะมีวีแบบทึมๆแต่ก็ให้ความงามในอีกรูปแบบหนึ่ง ศิลปะแบบเดิมเสื่อมลง แต่กลับได้สร้างศิลปะแบบใหม่ขึ้นดังที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีได้ให้ทัศนะไว้ว่า  “หลังจากต้นพุทธศตวรรษที่ 25 แล้ว จิตรกรรมฝาผนังไทยซึ่งเขียนขึ้นตามแบบดั้งเดิมก็เสื่อมลง จะคัดลอกกันไปตามตัวอย่างภาพที่สวยงามที่มีอยู่แต่ก่อน โดยผู้คัดลอกไม่มีความเข้าใจในความงาม รูปที่เขียนซ้ำแบบกันต่อๆมาก็ไม่มีชีวิตจิตใจอีกต่อไป ในขณะเดียวกัน ศิลปะตะวันตกก็ได้แพร่เข้ามาในประเทศไทย และทุกคนก็ตื่นเต้นกับสิ่งแปลกๆนี้ เพราะเป็นของใหม่ เป็นธรรมดาอยู่เองที่ว่าช่างเขียนก็ย่อมจะได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบตะวันตก ซึ่งค่อนข้างแข็งกระด้างและมีลักษณะคล้ายภาพถ่ายมากกว่าภาพเขียน ด้วยความปรารถนาที่จะฟื้นฟูจิตรกรรมของไทย และเพื่อจะดัดแปลงให้เป็นของทันสมัย ช่างของเราจึงพยายามที่จะเลียนแบบศิลปะตะวันตก โดยวาดภาพวัตถุทั้งหลายให้เป็นแบบสามมิติทั้งในแบบมีทัศนียวิสัย (perspective) และให้มีปริมาตร (volume) แต่เนื่องจากภาพเขียนของไทยเป็นแบบสองมิติ (คือแบนราบ) และมีทัศนียวิสัยเป็นแบบเส้นขนานกัน (ซึ่งมิใช่แบบวิทยาการ) เพราะฉะนั้นเมื่อช่างเขียนยอมรับเอาคติทางตะวันตกมาใช้ ภาพเขียนของเราก็เลยสูญเสียลักษณะพิเศษโดยเฉพาะของตนเองกลายเป็นศิลปะครึ่งชาติไป ณ ที่นี้เห็นควรกล่าวไว้ด้วยว่า ภาพเขียนแบบดั้งเดิมของไทยนั้นเหมาะดีสำหรับใช้เขียนจิตรกรรม ฝาผนัง แต่แบบของตะวันตกนั้นเหมาะที่จะใช้เป็นภาพเขียนบนผืนผ้าใบ (ศิลป์ พีระศรี,ศิลปวิชาการ “วิวัฒนากาแห่งจิตรกรรมฝาผนังไทย”, กรุงเทพฯ: มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี,2546,หน้า 221) 


               จิตรกรรมวัดบวรนิเวศวิหาร และวัดบรมนิวาสเป็นจิตรกรรมสมจริงแนวตะวันตกที่พัฒนาอย่างรวดเร็วในกระแสใหม่ (สันติ  เล็กสุขุม,จิตรกรรมไทย สมัยรัชการที่สาม: ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม,กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ,2548,หน้า 201)


               ความเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ทำให้จิตรกรรมเปลี่ยนไปด้วยดังเหตุผลที่ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีได้สรุปไว้ว่า “ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 25 ในสมัยพระบาทสมเด้จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ.2411-2453)  ประเทศไทยได้นำเอาอารยธรรมตะวันตกเข้ามาพัฒนาประเทศหลายประการคือการสร้างทางรถไฟ ถนนหนทาง โรงพยาบาล โรงเรียน การประปา การไฟฟ้า ฯลฯ เพราะว่ารายได้ของประเทศได้นำไปใช้เกี่ยวกับสาธารณประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ การสร้างวัดวาอารามจึงสดุดหยุดลง เป็นเหตุให้ศิลป์ตามประเพณีมิได้เป็นไปอย่างปกติเช่นสมัยก่อน (ศิลป์ พีระศรี,ศิลปวิชาการ “วิวัฒนากาแห่งจิตรกรรมฝาผนังไทย”, กรุงเทพฯ: มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี,2546,หน้า 390)
               จิตรกรรมวัดบวรนิเวศวิหารจึงมิได้เขียนตามแบบประเพณีแต่ได้ประยุกต์รูปแบบของชาวตะวันตกเข้ามาโดยแทรกอยู่ในงานจิตรกรรมบางครั้งจึงเห็นมีการแต่งกายแบบชาวตะวันตกในภาพด้วย จิตรกรรมวัดบวรนิเวศวิหารมีปรากฎอยู่ที่ พระอุโบสถตอนบน  พระอุโบสถตอนล่าง เสาพระอุโบสถ ภายในศาลาการเปรียญ หอไตร และภายในวิหารเก๋ง ซึ่งจะได้นำเสนอต่อไปจิตรกรรมฝาผนังวัดบวรนิเวศ 


               จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถตอนบนเขียนเป็นภาพปริศนาธรรมมีจำนวน 16 ภาพเช่น ปริศนาธรรมช่องที่ 1 เป็นรูปหมอยากำลังเยียวยาหมู่ชนผู้มีพยาธิให้หายจากพยาธิด้วยยาที่ได้ประกอบไว้แล้ว ณ ภายในตึกโรงพยาบาล เบื้องหน้าตึกมีหมู่ชนผู้มีพยาธิเดินเข้าสู่ตึกเองบ้าง มีผู้อื่นช่วยนำเข้าไปบ้าง ปริศนาธรรมข้อนี้มีความหมายว่า พระพุทธเจ้าเปรียบดังหมอยาผู้ฉลาด เพราะพระองค์เป็นผู้สามารถ ในการที่จะกำจัดพยาธิคือกิเลสกับทั้งอนุสัยเสียได้ พระธรรมเปรียบดังยาที่หมอได้ประกอบไว้โดยชอบแล้ว พระสงฆ์ผู้มีอนุสัยแห่งพยาธิคือกิเลสสงบแล้ว เปรียบดังหมู่ชนมีพยาธิสงบด้วยดีเพราะประกอบยาแล้ว                  
           จิตรกรรมในสมัยรัชกาลที่สี่ทำไมจึงเปลี่ยนแปลงจากจิตรกรรมแบบเดิมคงต้องอาศัยบทสรุปของปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูลว่า “ในบริบทของสังคมไทยต้นรัตนโกสินทร์โดยรวมนั้น จิตรกรรมเป็นสื่อทางวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่มีภาษาเฉพาะ และเป็นภาษาที่เอื้อและสนับสนุนการกล่าวถึงความคิดในการจัดระเบียบทางสังคมที่มีพื้นฐานอยู่บนความสัมพันธ์ที่ไม่เท่าเทียมกันของคนในกลุ่มต่างๆ ความคิดพื้นฐานนี้อาจจะปรากฏในสื่อทางวัฒนธรรมอื่นๆ เช่นการแสดงหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมายในนาฏกรรม ดนตรี และศิลปกรรมแขนงต่างๆที่อยู่ในจารีตของราชสำนัก โดยเฉพาะสื่อทาง ศิลปกรรมต่างๆที่เกิดในโครงสร้างของสังคมเช่นเดียวกับจิตรกรรมนั้น น่าจะมีภาษาที่มีลักษณะร่วมกับจิตรกรรมอยู่ไม่น้อย หากแต่การเปรียบเทียบสื่อต่างๆเหล่านี้อย่างสมบูรณ์เป็นเรื่องที่เรายังจะต้องศึกษาค้นคว้าต่อไปอีก (ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล, ภาษาของจิตรกรรมไทย: การศึกษารหัสของภาพ และความหมายของสังคมวัฒนธรรมของจิตรกรรมพุทธศาสนาต้นรัตนโกสินทร์,รายงานการวิจัยเสนอต่อสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2536.หน้า 14)
               เมื่อแนวคิดในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังในสมัยรัชกาลที่สี่เปลี่ยนไป จิตรกรที่เคยทำงานในสมัยรัชกาลที่สามจะทำอะไร เรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าจะศึกษาค้นคว้าต่อไป  จิตรกรเหล่านี้เมื่อไม่อาจเขียนภาพตามที่เคยเขียนได้ น่าจะออกมาเขียนภาพตามต่างจังหวัดนับเป็นจุดเปลี่ยนอีกอย่างหนึ่งในงานจิตรกรรมฝาผนังไทย


               วัดบวรนิเวศวิหารมีจิตรกรรมร่วมสมัยที่เปลี่ยนจากรูปแบบงานจิตรกรรมในอดีต ภาพบางอย่างมีการสอดแทรกแนวคิดสมัยเข้าไป โดยมิได้ยึดติดกับธรรมเนียมในการเขียนภาพแบบดั้งเดิม เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในงานจิตรกรรม สมัยปัจจุบันงานจิตรกรรมมีราคาอาจขายได้ภาพละหลายแสนบาทบาท งานจิตรกรรมฝาผนังตามพระอุโบสถต่างๆเป็นงานที่ทรงคุณค่าแม้จะเป็นงานที่รังสรรค์ขึ้นใหม่ เพราะจิตรกรมีชื่อเสียงเช่นที่วัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงรายเป็นต้น
               หากใครอยู่ใกล้วัดบวรนิเวศวิหารอยากสัมผัสความงามและสุนทรียทัศน์กับงานจิตรกรรมฝาผนัง ก็เชิญแวะชมได้ ส่วนพระอุโบสถท่านจะเปิดให้ชมวันไหนนั้นต้องติดต่อสอบถามเอาเอง เพราะปัจจุบันวัดบวรนิเวศวิหารกำลังมีการซ่อมแซมปรับปรุงหลายอย่าง อาจไม่สะดวกนัก แต่ถ้ามีโอกาสควรเข้ามาเสพสุนทรียรสแห่งงานจิตรกรรมที่สื่อถึงยุคสมัยได้อย่างยอดเยี่ยม 

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
เรียบเรียง
เผยแพร่ครั้งแรกใน
www.mbu.ac.th 12/09/50
แก้ไขปรับปรุงใหม่ 01/05/53

 

 บรรณานุกรม

คณะกรรมการอำนวยการฯ.ศิลปกรรมวัดบวรนิเวศวิหาร.กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์การศาสนา.2548.
ประเสริฐ  ศีลรัตนา. สุนทรียะทางทัศนศิลป์.กรุงเทพ ฯ:สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์,2542.
ปริตตา เฉลิมเผ่า กออนันตกูล. ภาษาของจิตรกรรมไทย: การศึกษารหัสของภาพ และความหมายของสังคมวัฒนธรรมของจิตรกรรมพุทธศาสนาต้นรัตนโกสินทร์.รายงานการวิจัยเสนอต่อสถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. กรุงเทพ: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2536.
พระมหาอำพล   บุดดาสาร.การศึกษาวิเคราะห์พุทธปรัชญาและพุทธศิลป์จากภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องบาลีชาดกวัดเครือวัลย์วรวิหาร. วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต  สาขาพุทธศาสนศึกษา  คณะศิลปศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2546.
มัย  ตติยะ.สุนทรียภาพทางทัศนศิลป.กรุงเทพฯ:วาดศิลป์,2547.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมศัพท์ศิลปะ อังกฤษ-ไทย.กรุงเทพ ฯ : เพื่อนพิมพ์,2530.
สันติ  เล็กสุขุม.จิตรกรรมไทย สมัยรัชการที่สาม: ความคิดเปลี่ยนการแสดงออกก็เปลี่ยนตาม.กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ,2548.
ศิลป์ พีระศรี.ศิลปวิชาการ “วิวัฒนาการแห่งจิตรกรรมฝาผนังไทย”.  กรุงเทพฯ: มูลนิธิศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี,2546.

 

 

 

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก