ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

        ประเทศไทยกำลังจะมีนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย อีกไม่กีวันก็จะถึง “วันแม่แห่งชาติ” ที่กำหนดให้วันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี เป็นวันแม่ คนทุกคนจะต้องมีแม่ แต่ว่าแม่ของทุกคนไม่เหมือนกัน บางคนรักแล่ห่วงใยลูกทุกคน แต่แม่บางคนไม่ให้โอกาสลูกได้เกิดก็มี แม่อย่างนี้เป็นแม่ใจร้ายคงมีไม่มาก แต่คนที่ได้ชื่อว่าส่วนมากย่อมจะมีความรักต่อลูกเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ในช่วงนี้ขอนำเสนอเรียงความเรื่องแม่ และหากผู้อ่านท่านใดจะร่วมเขียนเรียงความเรื่องแม่ส่งเข้ามาร่วมประกวดก็ได้ ภายใต้หัวข้อ “เรียงความทเรื่องแม่” เว็บไซต์ไซเบอร์วนารามมีรางวัลให้
 

        สองสามวันมาแล้ววราโกภิกขุ(นามสมมุติ)เพื่อนเก่าที่เคยบวชเรียนมาด้วยกันโทรศัพท์มาถามข่าวคราวความเคลื่อนไหว พร้อมทั้งบอกว่าคิดถึง หลังจากที่ไม่ได้พบกันนานมาแล้ว จึงขออนุญาตนำประวัติบางเสี้ยวของชีวิตในสมัยที่ท่านยังครองเพศฆราวาสมาถ่ายทอดให้คนอื่นได้อ่านผ่านตัวหนังสือนำลงเผยแผ่ในเว็บไซต์ ท่านอนุญาตและได้เพิ่มเติมข้อความบางตอนทำให้เนื้อหาสมบูรณ์ขึ้น ผู้เขียนกับวราโกเคยอยู่จำพรรษาด้วยกันครั้งหนึ่งที่วัดถ้ำเอราวัณ จังหวัดหนองบัวลำภู
        พรรษานั้นท่านป่วยเป็นโรคมาเลเรียขึ้นสมองต้องนอนซมเพราะพิษไข้ แต่คราวใดที่ฤทธิ์ของโรคเบาบางก็มักจะเล่าความหลังเมื่อครั้งที่เป็นฆราวาสให้ฟัง ต่อไปนี้คือเรื่องหนึ่งที่ท่านเคยเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของแม่

 

 

  

เรียงความเรื่องแม่

ความรักของแม่เที่ยงแท้ไม่แปรผัน

 

       “ถึงแม้ว่าแม่จะป็นชาวบ้านธรรมดามีความรู้เรียนจบเพียงชั้นประถมปีที่สี่ แต่ความรักความรู้ของแม่ที่มีต่อลูกๆไม่ได้จำกัดด้วยความรู้ แม่รักและห่วงใยลูกเสมอ แม้บางครั้งจะเหมือนว่าแม่รักลูกไม่เท่ากัน แต่เมื่อถึงคราวที่ลูกกำลังจะตกเข้าไปสู่วงวนแห่งความเสื่อมเสีย กำลังจะกลายเป็นคนเลวที่ยากจะถอนตัว แม่นี่แหละคือผู้ฉุดดึงให้ลูกขึ้นจากทางแห่งความฉิบหายเข้าสู่ทางแห่งความเจริญ ความฝันสูงสุดของแม่ที่มีลูกชายอย่างหนึ่งขอให้ลูกชายได้บวชเรียนอย่างน้อยหนึ่งพรรษา” ท่านวราโกเริ่มต้นถ่ายทอดเรื่องราวอย่างช้าๆ
        จากนั้นก็นั่งนิ่งเหมือนกำลังย้อนกลับไปยังอดีตอันยาวนาน “ผมเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่หก พ่อแม่ผมก็บอกว่าหมดปัญญาไม่มีเงินส่งให้เรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย หากอยากจะเรียนก็ให้ทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนต่อเอาเอง ปัญหาของเรื่องราวทั้งหมดจึงเริ่มจากตรงนี้
        ผมหิ้วกระเป๋าก้าวลงบันไดขึ้นรถเมล์มุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร โดยไม่มีจุดหมายไร้ทิศทาง เพราะกรุงเทพฯสำหรับผมในช่วงเวลานั้นเป็นเพียงเมืองในจินตนาการ ผมไม่เคยเดินทางมายังกรุงเทพมาก่อนเลย ครั้งแรกมีเงินติดกระเป๋ามาเพียงไม่กี่บาท มีคนเล่าให้ฟังว่ากรุงเทพไม่มีคนอดตาย มีงานให้ทำทุกอย่าง หากไม่เลือกงานไม่มีวันตกงาน ผมฟังมาแค่นั้น

 

 

 
        แต่พอหิ้วกระเป๋าก้าวเท้าลงรถเมล์เท่านั้น ผมก็โดนคนบ้านเดียวกันหลอกทันที ชายคนนั้นพาผมไปยังสำนักจัดหางานที่อยู่ข้างๆสถานีรถโดยสาร จากนั้นผมก็ถูกส่งตัวไปยังโรงงานแห่งหนึ่งแถวชานเมืองและเริ่มทำงาน เงินเดือนตอนนั้นเริ่มต้นที่ 750 บาท ค่าแรงงานถูกมาก แต่หากทำงานล่วงเวลาก็จะได้เพิ่มอีก 750 บาท ผมต้องทำงานตั้งแต่เวลาแปดโมงเช้าถึงเที่ยงคืนทุกวัน เงินเดือนแรกถูกหักค่านายหน้าหมดเลย ไม่เหลือสักบาท ชายผู้หวังดีคนนั้นคือนายหน้าหาเงินจากคนจร ทั้งๆผมฟังมาจากคำบอกเล่าของเขาว่าเขาเห็นว่าเป็นคนทางภาคเดียวกันจึงอยากช่วยเหลือหางานทำให้ เขาพูดความจริงครึ่งเดียว ความจริงอีกส่วนหนึ่งถูกปกปิดไว้คือค่านายหน้าเขาไม่ได้บอก ผมจึงถูกหลอนโดยไม่รู้ตัว
        ผมย้ายงานหลายแห่ง ทำงานแห่งละสองสามเดือนผมก็ย้ายหาที่ทำงานใหม่ บางแห่งอยู่ได้ไม่กี่วันก็หิ้วกระเป๋าเดินออกไปเลยโดยไม่ต้องลาใคร ยิ่งเป็นงานที่ทำงานเป็นรายวันรับเงินเสร็จก็เดินหนีได้เลย
        งานสุดท้ายที่ผมทำคือการเป็นนักแสดงประกอบที่โรงงิ้วแห่งหนึ่งแถวเยาวราชนั่นคืองานประจำแต่งานอดิเรกคือการรับจ้างทวงหนี้ทำกันเป็นทีม ผมถูกเรียกเข้าร่วมทีมครั้งแรกรับหน้าที่เป็นผู้ดูต้นทาง  พอทำงานครั้งแรกสำเร็จจึงมีงานต่อมาอีกเรื่อยๆ รายได้ดีมาก ทำงานครั้งเดียวบางครั้งมากกว่าเงินเดือนของนักแสดงประกอบงิ้วเลยทีเดียว แต่งานไม่ได้มีทุกวัน งานที่โรงงิ้วจึงยังคงเป็นงานหลัก

 

 

 
        เรื่องมันเกิดที่โรงงิ้วนี่แหละ ผมค่อยๆได้รับการเลื่อนขั้นจากคนดูต้นทางจนเป็นผู้ทวงหนี้เสียเอง ลูกหนี้ส่วนหนึ่งเป็นคนจนทำมาค้าขายแต่ติดการพนัน จึงต้องหาเงินมาเล่นการพนัน ซึ่งส่วนมากจะเสียมากกว่าได้ พอติดหนี้ก็ไม่เป็นอันทำมาหากินต้องหลบๆซ่อนๆ แต่ไม่อาจหลบรอดสายตาของนักทวงหนี้อย่างพวกผมไปได้ บางคนถูกซ้อมแทบปางตาย แต่ยังไม่เคยมีใครเสียชีวิตจากการทวงหนี้ของพวกผมอย่างมากก็เพียงนอนหยอดน้ำข้าวต้มเป็นอาทิตย์เท่านั้น
        ผมทำงานได้ดีเข้าตาผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งมีคนเสนองานรับจ้างฆ่าให้ แต่ผมยังไม่ได้รับงานนั้น เพราะยังไม่อยากฆ่าใคร งานทวงหนี้ที่ทำอยู่ก็เหมือนเป็นการฆ่าอยู่แล้ว เราฆ่าอนาคตของคนอีกหลายชีวิต หากลูกหนี้คนนั้นมีครอบครัว เมียและลูกก็ต้องพลอยลำบากไปด้วย
        ชีวิตในช่วงนั้นจึงมีงานทำไม่ขาด มีเงิน จึงเที่ยวเตร่อย่างสนุกสนานตามโรงน้ำชา ตามโรงแรมห้อง
เช่าโดยมีอาชีพเพิ่มขึ้นมาอีกอาชีพหนึ่งคือเปิดบ่อนการพนันขนาดเล็กเล่นไพ่เล่นไฮโลประเภทนั้นตามห้องพักต่างๆและนัดแนะกันมาเล่น งานนี้ไปได้ดีการพนันนั้นเป็นเจ้ามือดีกว่าเป็นผู้เล่น

        ชีวิตที่เหลืออยู่จึงหมดไปกับสุรา นารี กัญชา และยาเสพติดอื่นๆ ชีวิตผมหากปล่อยไปคงถอนตัวไม่ขึ้นเพราะกำลังหลงอยู่ในวังวนของคนเลว มีแต่จะทรุดลงเรื่อยๆ อนาคตคาดเดาได้ว่าคงหนีไม่พ้นคุกตาราง แต่วัยหนุ่มไม่ค่อยคิดถึงอนาคตเท่าใดนักขอให้มีอยู่มีกินมีเงินเที่ยวไปวันๆก็พอแล้ว

 

 

 
        เพื่อนคนหนึ่งกลับบ้านเกิด แต่กลับมาพร้อมกับแม่ผมโดยที่ผมเองก็ไม่เคยทราบล่วงหน้า เพราะผมไม่เคยบอกทางบ้านหรือญาติพี่น้องที่ไหนเลยว่าผมทำงานที่ไหน ผู้ที่รู้ว่าผมกำลังทำอะไรก็มีแต่เพื่อนคนหนึ่งที่มาจากบ้านเดียวกันนั้น
        วันนั้นใกล้สว่างแล้วพวกผมกำลังตั้งวงสูบกัญชาอย่างมีความสุขที่ห้องพักภายในโรงงิ้วนั่นเอง กัญชาหมดไปหลายชุดแล้ว ผมก็สูบหนักไปหลายชุด แต่ชุดสุดท้ายขณะผมกำลังดูดควันพิษจากบ้องกัญชาพอเงยหน้าขึ้นก็เห็นแม่นั่งอยู่ตรงหน้าแล้ว
        แม่ร้องให้น้ำตาหลั่งไหลเหมือนทำนบแตก พูดอะไรไม่ออก ผมเองก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน ไม่มีคำแก้ตัวเพราะจำนนต่อหลักฐาน ด้านหลังแม่คือเพื่อนจากบ้านเดียวกันคนนั้น แกเอ่ยขึ้นด้วยถ้อยคำสั้นๆว่า “แม่ขอตามข้ามาเอง อยากมาดูให้เห็นกับตาว่าแกกำลังทำอะไรอยู่”
        แม่ยื่นคำขาดทันทีว่า “พรุ่งนี้กลับบ้านพร้อมแม่”
        ผมไม่กล้าเถียงแม่แม้แต่สักคำเดียว
        แม่ใช้หนี้ทุกอย่างที่ผมก่อไว้หมดเงินไปหลายหมื่นบาท เงินหมื่นสมัยนั้นมากนะครับ ราคาทองคำ
บาทละสองพันบาท เมื่อแม่จัดการเรื่องหนี้สินให้หมดแล้ว ผมจึงต้องเดินทางกลับบ้านพร้อมแม่โดยไม่รู้ว่าจะกลับไปทำอะไรที่บ้านเกิดนอกจากทำนา  ผมอยู่ที่บ้านเกิดทำงานทุกอย่างเพื่อใช้หนี้แม่ที่จ่ายให้ที่กรุงเทพโดยไม่ได้ปริปากบ่นอะไรเลย
        ต่อมาไม่นานผมได้พบรักกับสาวชาวบ้านหนึ่ง ความรักกำลังไปได้ดีเริ่มวางแผนจะแต่งงานมีชีวิตเป็นชาวนาเต็มรูปแบบ แม่ก็พลอยยินดีไปด้วย ผมเริ่มเห็นรอยยิ้มของแม่แล้ว ตอนนั้นเพียงแต่เปรยๆให้แม่ฟังว่าอยากมีครอบครัวเสียที แม่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่ยิ้มเหมือนกับจะยอมรับ

 

 

 
        เดือนเมษายนปีนั้นผมมีอายุครบเกณฑ์ทหารพอดี และผ่านการเกณฑ์ทหารตามปกติจับได้ใบดำหมดสิทธิ์ได้รับใช้ชาติ ผมเริ่มวางแผนจะแต่งงานและได้บอกวัตถุประสงค์ให้แม่ทราบ แม่บอกสั้นๆว่า “ความฝันสูงสุดของแม่อย่างหนึ่งมีมาตั้งแต่วันแรกที่เห็นหน้าลูกชายคือลูกต้องบวชให้แม่ได้จับชายผ้าเหลืองให้ได้ จะแต่งงานแม่ไม่ห้ามแต่แม่ขอร้องเป็นครั้งสุดท้ายคือขอให้ลูกบวชให้แม่สักหนึ่งพรรษา”
        ฟังคำแม่แล้วอึ้งเลยครับตอนนั้น เพราะผมไม่เคยคิดที่จะบวช ผมว่าพระสงฆ์อยู่ลำบาก มีข้อห้ามมากมาย ขาดความเป็นอิสระ ยิ่งพระภิกษุที่วัดประจำหมู่บ้านผมในสมัยนั้นเป็นวัดป่าด้วย พระอยู่ไม่ประจำที่ไปๆมาๆแทบจะจำหน้าไม่ได้ มีเพียงเจ้าอาวาสรูปเดียวที่อยู่ประจำ  ผมก็ไม่ค่อยถูกชะตากับเจ้าอาวาสมากนัก ท่านเข้มงวดมากและท่านเจ้าอาวาสก้ไม่ชอบหน้าพวกผมเหมือนกัน เพราะแอบขโมยมะพร้าว ตาล หรือผลไม่อื่นๆในวัดกินอยู่เป็นประจำ ต้นตาลที่สูงลิบลิ่วยังอุตส่าห์ปีนขึ้นไปนำลูกตาลลงมากินได้เลย
        พ่อพาผมมาฝากกับเพื่อนของพ่อสมัยที่ยังบวชอยู่ แต่พ่อลาสิกขาเพื่อนพ่อรูปนั้นอยู่ในเพศสมณวิสัยจนได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ที่อีกอำเภอหนึ่งในจังหวัดเดียวกัน พ่อนำมาฝากแล้วอุปัชฌาย์รับไว้บอกว่าให้เข้านาคสักพักพร้อมเมื่อไหร่จึงจะให้บวช ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าพ่อได้สัญญาอะไรไว้กับพระอุปัชฌาย์
        ผมเข้านาคอยู่เพียงเดือนเดียวอุปัชฌาย์ก็บวชให้เลย ในวันอุปสมบทผมเป็นนาคอนาถาไม่มีพ่อไม่มีแม่หรือญาติใดๆมาร่วมงานอุปสมบทเลย

 

 


        ชีวิตฆราวาสของผมสิ้นสุดลงตรงนี้แหละครับ ผมครองชีวิตในเพศสมณมาจนถึงทุกวันนี้ ผ่านชีวิตลุ่มๆดอนมาโดยตลอดแต่ก็มีความสุขดีตามสมควรแก่ฐานะอดบ้างหิวบ้างตามสมควร ผมระลึกนึกย้อนหลัง หากวันนั้นแม่ผมไม่เดินทางไปกรุงเทพฯคงไม่มีโอกาสได้พบเห็นชีวิตเสเพลของลูกชาย และหากวันนั้นแม่ไม่พาผมกลับบ้าน ผมคงกลายเป็นมือปืนรับจ้างและอาจจะไม่มีลมหายใจมาจนถึงวันนี้” ท่านวราโกถอนหายใจเหมือนได้ระบายความรู้สึกออกมาเมื่อกล่าวถึงแม่
         “ความรักของแม่เที่ยงแท้ไม่แปรผัน ผมกลับไปเยี่ยมแม่เมื่อไหร่ได้เห็นแต่รอยยิ้มเปื้อนน้ำหมากของแม่แล้วรู้สึกมีความสุข เมื่อเห็นแม่มีความสุขผมก็พลอยสุขใจไปด้วย ปัจจุบันแม่ปล่อยวางชีวิตแล้ว แต่วันใดที่ผมพบหน้าแม่ตั้งใจว่าจะแสดงธรรมให้ฟัง ผมกลับต้องฟังแม่เล่าความหลังและเล่านิทานให้ฟัง”
        เขียนบันทึกจากคำบอกเล่าเรื่องราวบางเสี้ยวชีวิตของวราโกภิกขุจบลง บังเอิญมีเสียงโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยสายหนึ่งแทรกเข้ามา พอรับสายปลายสายบอกว่าโทรศัพท์มาจากวัดอลัสกาญาณวราราม ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นเจ้าอาวาสวัดอลาสก้า แต่ในอดีตสมัยนั้นท่านคือเจ้าอาวาสและผู้เขียนทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดถ้ำเอราวัณ จังหวัดหนองบัวลำภูในปัจจุบัน

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
ถ่ายทอดจากอัตตชีวประวัติของ “วราโกภิกขุ”
05/08/54

 

 

 

ประกาศ

 

        ขอเชิญส่งบทความเข้าประกวดภายใต้หัวข้อ “เรียงความเรื่องแม่” ชิงเงินรางวัล 5000 บาท ไม่จำกัดความยาว ไม่จำกัดเนื้อหา จะเป็นเรื่องจริง เรื่องแต่ง หรือเรื่องเล่าก็ได้ เรื่องที่ผ่านการพิจารณาจะนำลงเผยแผ่ทางเว็บไซต์ไซเบอร์วนาราม ผู้อ่านทุกคนมีสิทธิ์โหวตลงคะแนน คำตัดสินของกรรมการถือเป็นข้อยุติ

 

                          หมดกำหนดส่งเรื่องวันที่ 31 สิงหาคม 2554

                          ประกาศผลวันที่ 30 กันยายน 2554

 

 

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
เว็บมาสเตอร์ไซเบอร์วนาราม
05/08/54

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก