ไซเบอร์วนาราม.เน็ต

เว็บไซต์เพื่อพระพุทธศาสนา อารามหนึ่งบนโลกไซเบอร์

laithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithailaithai

              พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาที่โด่งดังเป็นที่รู้จักทั่วโลกในปัจจุบัน คงไม่มีใครเกินหน้าองค์ดาไลลามะ ผู้นำแห่งจิตวิญญาณของทิเบต การพบกันระหว่างสองผู้ยิ่งใหญ่คือประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐอเมริกา กับองค์ดาไลลามะ จึงเป็นที่สนใจของชาวโลก และตกเป็นข่าวไปทั่วโลก ได้ดูข่าวศิลปะบันเทิงว่าประเทศไทยก็ได้จัดเทศกาลภาพยนตร์ทิเบตขึ้นในช่วงนี้ด้วย   
              การพบกันของทั้งผู้นำทั้งสองเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2553 ที่ผ่านมา  โดยไม่อนุญาตให้มีการถ่ายทอดเสียงการสนทนากัน จนถึงวันนี้พยายามตามข่าวอยู่ว่าผู้นำทั้งสองได้คุยเรื่องอะไรกันบ้าง 
              ที่เป็นข่าวใหญ่โตกลับเป็นประเทศจีนที่แถลงคัดค้านการพบกันของผู้นำทั้งสองเช่นข่าวจากหังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 19 กพ. 53 สรุปได้ว่า  “สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ว่า  โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีน แถลงไม่เห็นด้วย และแสดงไม่พอใจกรณีการพบกันระหว่าง บารัค โอบามา ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐฯ และ องค์ดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของทิเบต ว่าเป็นการสร้างความตึงเครียดด้านความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและจีนให้เพิ่มมากขึ้น  แต่ทั้งนี้ทางการจีนยังหวังให้สหรัฐฯฟื้นความสัมพันธ์ทวิภาคีให้ดีขึ้นกว่าเดิม
              สำหรับการพบกันระหว่างผู้นำประเทศมหาอำนาจ และผู้นำทางด้านศาสนา มีขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ( 18 ก.พ.) ที่ทำเนียบขาว โดยทั้ง 2 ผู้นำใช้เวลาหารือราว 1 ชั่วโมงเศษ โดย โอบามา กล่าวยกย่ององค์ดาไล ลามะ ที่ยึดมั่นในแนวทางที่หลีกเลี่ยงความรุนแรง
              ทำไมจีนต้องไม่พอใจการพบกันของผู้ทั้งสองท่าน  เพราะจีนถือว่าทิเบตคือมณฑลหนึ่งของจีน ในขณะที่ชาวทิเบตถือว่าทิเบตคือประเทศเอกราชมาก่อน ภายหลังถูกจีนยึดครอง ความเห็นของทั้งสองประเทศจึงมีความขัดแย้งกันเรื่อยมา องค์ดาไลลามะได้เรียกร้องอิสรภาพเพื่อให้ชาวทิเบตได้ปกครองตนเองมาเป็นเวลา 50 กว่าปีแล้ว ปัจจุบันองค์ดาไลลามะมีถิ่นพำนักที่เมืองดาลัมสลาหรือที่เรียกติดปากคนไทยว่า “ธัมมศาลา” มีรัฐบาลพลัดถิ่น มีคณะรัฐมนตรี โดยองค์ทดาไลลามะผู้นำทั้งทางโลกและทางจิตวิญญาณ ในโลกนี้คงมีประเทศเดียวที่มีผู้นำทั้งทางโลกและทางศาสนาเป็นคนๆเดียวกัน

 


              ผู้เขียนเคยพบกับ ดร. ลอบชัง วังยัล ชาวทิเบตและท่านธูปเท็น ซองโป ลามะชาวอิตาลี ที่มีถิ่นพำนักในเมืองเดลี เมืองหลวงของประเทศอินเดีย เมื่อหลายปีก่อน เคยพบกันช่วงสั้นๆ ขณะที่ ดร.ลอบซัง พึ่งจบปริญญาเอกใหม่ๆ ดร.ลอบซังได้กรุณาเล่าเรื่องพระพุทธศาสนาในทิเบตให้ฟัง เห็นว่าน่าจะป์นประโยชน์ต่อผู้ใฝ่รู้จึงได้นำเสนอดังนี้
           ดร. ลอบชัง วังยัล เล่าให้ฟังว่า “ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้าสู่ทิเบตประมาณพุทธ ศตวรรษที่ 11 ในรัฐสมัยของกษัตริย์ซองต์เชน กัมโป (พ.ศ. 1151-1193) ทิเบตมีศาสนาอยู่ก่อนแล้ว คือศาสนาบอน (Bon) หรือ บอนโป ซึ่งมีความเชื่อในการถือโชคลางไสยศาสตร์ และเทพเจ้า พิธีกรรมบางอย่างน่ากลัว เพราะต้องมีการสละเลือดเพื่อเซ่นสังเวยแด่เทพเจ้า เหมือนในความเชื่อของทางอินเดียโบราณ” ผู้เขียนแสดงความเห็นแม้แต่ความเชื่อของชาวสยามเอง ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก
        เป็นที่น่าสังเกตว่า “พระพุทธศาสนามักจะเกิดขึ้นและเจริญรุ่งเรืองในประเทศที่เคยนับถือเรื่องโชคลาง ไสยศาสตร์ แม้แต่ในสยามประเทศเองการที่พระพุทธศาสนาอยู่ในดินแดนสุวรรณภูมินี้ได้ก็เพราะการผสมผสานระหว่างความเชื่อเก่ากับความเชื่อใหม่ การนับถือพระพุทธศาสนาไม่ได้ทำลายความเชื่อเดิม ชาวไทยยังคงสวดมนต์ไหว้พระพร้อมกับประกอบพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ไปด้วย บางแห่งพระสงฆ์กลายเป็นผู้เข้าทรงเสียเอง นี่อาจจะเป็นคุณลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของพุทธศาสนาคือการผสมผสานแนวคิดเดิมกับความเชื่อใหม่เหมือนกับการต่อกิ่งต้นมะม่วงของชาวสวน ในขณะที่มะม่วงต้นเดิมยังอยู่ แต่มีมะม่วงพันธ์ใหม่เกิดขึ้นที่ต้นมะม่วงต้นเดิม พระพุทธศาสนาในทิเบตก็เช่นเดียวกัน ความเชื่อเก่ายังมีอยู่แต่มีความเชื่อใหม่คือพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น  


              ดร.วังยัลเล่าต่อว่า “กษัตริย์ซองต์เซน กัมโป ของทิเบตมีพระมเหสี 2 พระองค์คือ เจ้าหญิง เวน เชงหรือบุ้นเช้งจากจีน และเจ้าหญิงภฤกฏเทวี จากเนปาล พระมเหสีทั้งสองเป็นพุทธศาสนิกชนได้นำเอาพระพุทธศาสนาเข้าไปด้วย ดังนั้นในยุคแรกพระพุทธศาสนาในทิเบตจึงเป็นการผสมระหว่างมหายายแบบจีน เนปาล และไสยศาสตร์ของทิเบต”
              ผู้ที่วางรากฐานของพระพุทธศาสนาในทิเบต คือท่านปัทมะสัมภาวหรือคุรุปัทมสัมภวะ(Padmasambhava) กับ ท่านศัณฑะรักขิต(สังฆรักขิต) ภิกษุจากแคว้นแคชเมียร์ ประมาณพุทธศักราช 1308-1363) ได้สร้างวัดแรกขึ้นชื่อวัดซัมเย การเผยแผ่พุทธศาสนาในยุคแรกเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก เพราะถูกผู้นิยมในศาสนาเก่าคือศาสนาบอนคอยขัดขวาง แต่มีพระทิเบตจำนวนหนึ่งได้เดินทางไปศึกษาพุทธศาสนาทั้งจากจีนและอินเดียมีการแปลคัมภีร์เป็นภาษาทิเบตเป็นจำนวนมากทำให้คำสอนของพระพุทธศาสนาแพร่หลายอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 13 เรื่อยมา พระพุทธศาสนาในทิเบตมีความเจริญและแตกเป็นนิกายต่าง ๆ 4 นิกาย คือ  


                      1. นิกายญิงมาปะ (Rnin-ma-pa ) ให้กำเนิดโดยท่านคุรุปัทมะสัมภวะ ภิกษุชาวแค็ซเมียร์ กษัตริย์ตริซอง เด็ทเซ็น ได้อาราธนาไปวางรากฐานพระพุทธศาสนาในทิเบต ระหว่างพุทธศักราช (1308-1363) ท่านได้ตั้งคณะสงฆ์ชาวทิเบตขึ้น มีการแปลพุทธธรรมและบทบัญญัติต่างๆเป็นภาษาทิเบต เมื่อท่านมรณภาพแล้วได้มีคณาจารย์สืบต่อกันเรื่อยมา เป็นพุทธศาสนาแบบตันตระ (Tantra) สวมหมวกแดง เครื่องแต่งกายสีแดง
                      2. นิกายการยุดปะ ((Bka-rgyud-pa) ก่อตั้งโดยท่านนาโรปะ ( Naropa พ.ศ.1555-1642 ) ภิกษุชาวอินเดีย นิกายนี้นิยมสีขาวในการประกอบพิธีบางครั้งพระจะห่มผ้าสีขาว กำแพงวัด วิหารล้วนนิยมสีขาว จึงมักนิยมเรียกนิกายนี้ว่า นิกายขาว (White Sect) พระในนิกายนี้ที่โด่งดังมากที่สุดรูปหนึ่งคือท่านมิราเลปะ (Milarepa) ผู้ประพันธ์ A Hundred Thousand Songs) ซึ่งบางตอนของบทเพลงตามนี้ ร. บุญโญรส ได้ถ่ายทอดเป็นภาษาไทยในชื่อ ธรรมคีตาของมิลาเรปะ
                      3. นิกายศากยะ (Sa-skya-pa) ก่อตั้งโดยท่านอติษะ (Atisa พ.ศ. 1536-1593) ชาวอินเดีย นิกายนี้มีความเชื่อว่าสัจธรรมของพระโพธิสัตว์สามารถจะบรรลุได้ด้วยการเจริญสมาธิภาวนาตามลำดับขั้น ต้องรักษาศีลอย่างเคร่งครัดและหมั่นศึกษาพุทธธรรมอยู่เสมอ นอกจากนั้นยังเน้นที่การประสานงานระหว่างอาจารย์ลูกศิษย์สัจธรรมจนกลายเป็นหนึ่งเดียว
                      4. เกลุกปะ (Dge-lugs-pa) ก่อตั้งโดยท่านซองขะปะ (Tson kha-pa พ.ศ. 1890-1962)ภิกษุชาวทิเบต ซึ่งปฏิรูปมาจากคำสอนของท่านอติษะ แห่งนิกายศากยะ เมื่อเริ่มก่อตั้งเรียกว่าคาแดมปะ (Kha-dam-pa) ซึ่งเน้นหนักที่มายาศาสตร์ ท่านซองขะปะนักบุญชาวทิเบตได้ปฏิรูปนิกายนี้เสียใหม่ โดยเน้นที่ความเป็นเลิศทางศีลธรรมและสติปัญญา พระในนิกายนี้นิยมเรียกว่าพระหมวกเหลือง (เกี่ยวกับการจำแนกนิกายในทิเบต ผู้สนใจสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จาก Buddhism in Tibet โดย Donald S. Lopez, Jr. รวมพิมพ์ใน Companion Encyclopedia of Asian Philosophy พิมพ์ในปีคริสตศักราช 1997)
                      ผู้เขียนไม่แปลกใจว่าทำไมทิเบตจึงยอมรับพระพุทธศาสนานิกายตันตระก่อนนิกายอื่น เพราะนิกายตันตระ ออสติน แวดเดล (Austin Waddel ) ได้อธิบายตันตระไว้ในหนังสือพุทธศาสนาประวัติระหว่าง 2500 ปีที่ล่วงแล้วหน้า 251 ว่า “ลัทธิตันตระในพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากลัทธิพุทธ ผีสางเทวดา” ลักษณะพิเศษของตันตระคือเชื่อในเทพเจ้าและเทพี ชาวตันตระเชื่อว่าด้วยความโปรดปรานของเทพเจ้าจะทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุ “สิทธิ” หรือความสำเร็จได้ ซึ่งความเชื่อแบบนี้สอดคล้องกับความเชื่อดังเดิมของชาวทิเบตคือความเชื่อในอำนาจของเทพเจ้า ชาวทิเบตรับเอาพุทธศาสนานิกายตันนตระเพราะตรงกับความเชื่อแบบดั้งเดิมของพวกเขา เป็นการเสริมพลังอำนาจให้เข้าใกล้ตัวเทพเจ้ามากยิ่งขึ้น ดังนั้นตันตระซึ่งยังคงมีอิทธิพลต่อชาวทิเบตตลอดมา


                      นิกายที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือนิกายเกลุกปะ ต่อมาในปีพุทธศักราช 2086 ผู้นำชาวมองโกลชื่อ อัลตานข่าน (Altan Khan) ได้มองเห็นความสำคัญของลามะในนิกายเกลุกปะ จึงได้สถาปนาผู้นำนิกาย เกลุกปะ ชื่อสอดนัมยาโส ประมุขสงฆ์องค์ที่ 3 ขึ้นเป็นดาไลลามะ แต่ให้มีผลย้อนหลังไปยังประมุขสงฆ์องค์ที่ 1คือเกดัน ทรัปปะ ดังนั้นคำว่า “ดาไลลามะ”(Dalai Lamas) จึงเริ่มต้นในปี 2121 และสืบต่ออำนาจเรื่อยมา ดาไลลามะที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือองค์ที่ 5 พระนามว่า งาวัง โลซัง กยัตโส มีอายุระหว่างพ.ศ. 2158-2223 พระองค์เป็นทั้งนักปราชญ์และนักปกครอง ได้ทรงรวบรวมประเทศทิเบตให้เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งกษัตริย์มองโกล ซึ่งมีอำนาจปกครองทิเบตในขณะนั้น    ได้มอบอำนาจให้ดาไลลามะเป็นผู้มีอำนาจในการปกครองทิเบตอย่างเด็ดขาดทั้งฝ่ายราชอาณาจักรและศาสนจักร ทิเตจึงถือเป็นปีระเพณีสืบต่อกันมาว่า ดาไลลามะคือผู้ปกครองประเทศที่มีอำนาจสูง (การสถาปนาลามะ ความเป็นไปของคณะสงฆ์ในทิเบต ผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติมได้จาก The Tibet : The Rise and Fall of a Monastic Tradition โดย Per Kvaerne รวมพิมพ์ใน World of Buddhism พิมพ์ในปี ค.ศ. 1984)
                      ปัจจุบันทิเบต มีดาไลลามะองค์ที่ 14 มีพระนามว่าจัมเฟล ลอบซัง เยเซ เท็นซิน กยัตโส (ชื่อเดิมคือลาโม ทอนดุป ลูกชายชาวนาแห่งหมู่บ้านตักเซอร์ แคว้นอัมโด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ชายแดนระหว่างทิเบตกับจีน ทิเบตมีนายกรัฐมนตรี 2 ตำแหน่งคือลามะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ และนายกรัฐมนตรีฆราวาสเป็นผู้นำทางการเมือง ส่วนดาไลลามะเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศที่ตัวเองต้องลี้ภัยในการเมือง มีรัฐบาลที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในประเทศของตน แต่ที่ทำการรัฐบาลตั้งอยู่ในเมืองธรรมศาลาหรือธรัมศาลา (Dharamsala ) ประเทศอินเดีย ในปี 2532 พระองค์ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพด้วย มีเพียงประเทศเดียวในโลกที่ประมุขของประเทศเป็นพระสงฆ์คือดาไลลามะแห่งทิเบต 


                      เมื่อผู้เขียนถามถึงการกลับชาติมาเกิดของดาไลลามะ เพราะเคยดูจากภาพยนตร์เรื่อง Little Buddha ดร. วังยัลได้อธิบายให้ฟังว่า “การกลับชาติมาเกิดเป็นความเชื่อที่ชาวทิเบตเชื่อถือกันมานาน บุคคลที่จะเป็นดาไลลามะจะถูกเรียกว่าลามะตุลกู (Lamas tulku)เป็นผู้มีพลังจิตสูง เมื่อมรณภาพไปแล้ว ย่อมกลับชาติมาเกิดอีกเพื่อช่วยเหลือสัตว์โลกให้พ้นจากความทุกข์ พระองค์เป็นพระราชาและพระสังฆราชของทิเบต จะไม่ทอดทิ้งชาวทิเบตจึงต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อทำหน้าที่ต่อไป ซึ่งเป็นเพราะพลังอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ดังนั้นองค์ดาไลลามะตั้งแต่องค์ที่ 1 จนถึงองค์ปัจจุบันจึงเป็นองค์เดียวกัน คือเปลี่ยนแปลงเพียงร่างกาย ส่วนวิญญาณคือดวงเดียวกัน”
              ทิเบตมีคณะผู้ค้นหาองค์ดาไลลามะโดยเฉพาะ ลามะชั้นสูงต้องตรวจสอบด้วยสมาธิชั้นสูงเพื่อหาสถานที่เกิดแห่งวิญญาณของดาไลลามะองค์ก่อนจุติ เมื่อพบแล้วจะทำการพิสูจน์โดยนำสิ่งของที่ดาไลลามะเคยใช้มาให้เลือก โดยปนไว้กับสิ่งของชนิดเดียวกันหลายๆอย่าง ถ้าเด็กเลือกได้ถูกก็ให้ตั้งสมุติฐานไว้ก่อนว่าคือองค์ดาไลลามะ บางครั้งต้องใช้เวลาค้นหาหลายปีจึงจะพบ ท่านซองโปลามะชาวอิตาเลี่ยนพูดแทรกขึ้นมาว่า “จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นองค์ทะลไลามะกลับชาติมาเกิดจริงๆ”
              ดร.วังยัลจึงชี้แจงต่อว่า “แน่ใจได้สิ เพราะเหตุผลง่ายๆว่า ถ้าไม่ใช่วิญญาณที่ระลึกชาติได้จริง จะไม่มีทางจดจำเรื่องราวในอดีตได้ จะต้องมีการเลือกที่ผิดๆถูกๆ เมื่อดาไลลามะสิ้นพระชนม์เด็กที่เกิดในช่วงนั้นหรือประมาณ 1-3ปี มีสิทธิ์เป็นดาไลลามะกลับชาติมาเกิด การค้นหาวิญญาณดาไลลามะในร่างใหม่ถือว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ เด็กที่ผ่านการคัดเลือกยังต้องเตรียมตัวอีกหลายปี ด้วยการให้การศึกษาอย่างเต็มรูปแบบภายใต้การควบคุมดูแลของลามะชั้นสูง ต้องฝึกงานทุกอย่างแม้แต่การเข้าร่วมฟังการประชุมคณะรัฐมนตรี” 
              ช่วงเวลาแห่งชีวิตก่อนที่จะได้รับการสถาปนาเป็นองค์ดาไลลามะมิใช่เรื่องง่าย วิชาที่ถูกบังคับให้เรียนตามบันทึกของดาไลลามะองค์ปัจจุบันท่านบันทึกไว้ในหนังสือ Freedom in Exile มีใจความตอนหนึ่งว่า “อาตมาจะตื่นนอนเวลา 6 นาฬิกาทุกเช้า แต่งตัวเสร็จสวดมนต์บำเพ็ญสมาธิ เวลา 7 นาฬิกาฉันอาหาร หลังจากนั้นเข้าเรียนช่วงแรก เมื่อเรียนอ่านได้แล้วจึงเรียนเขียน ท่องจำพระสูตรและคัมภีร์ 10 โมงเช้า เข้าร่วมประชุมกับคณะรัฐมนตรี แล้วกลับไปเรียนต่อที่ห้อง” ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกวันกว่าจะผ่านวัยเด็กไปได้คงต้องใช้ความอดทนเป็นพิเศษ 


              เกี่ยวกับหลักสูตรที่ดาไลลามะต้องเรียน เป็นหลักสูตรเดียวกันกับที่ลามะรูปอื่นใช้ศึกษาในระดับปริญญาเอก ท่านบันทึกไว้ว่า “หลักสูตรที่ต้องเรียนเป็นวิชาเอก 5 วิชา วิชาโท 5 วิชา วิชาเอกได้แก่ ตรรกศาสตร์, ศิลปและวัฒนธรรมทิเบต,ภาษาสันสกฤต,วิชาแพทย์และพุทธปรัชญา โดยเฉพาะวิชาพุทธปรัชญายังแบ่งเป็นรายวิชาย่อยอีกคือปรัชญาปารมิตา,มัธยามิกะ,วินัยบัญญัติ,อภิธรรมปิฎก,และประมาณทวิทยา วิชาโท 5 สาขาได้แก่ กาพย์กลอน,ดนตรีและการละคร,โหราศาสตร์,วากยสัมพันธ์และคำสมาส วิชาพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ในระบบการศึกษาของลามะในทิเบตคือวิภาษวิธี (Dialectic) ซึ่งใช้เป็นศิลปะในการตอบโต้ธรรมะ” (ประวัติและความเป็นมาของดาไลลามะองค์ปัจจุบัน ศึกษาได้จากหนังสือที่พระองค์นิพนธ์เองคือ Freedom in Exile)
              เมื่ออ่านจากหนังสือที่องค์ดาไลลามะนิพนธ์เองแล้ว ต้องยอมรับว่าการกลับชาติมาเกิดแม้จะถือเป็นหลักการใหญ่ แต่การจัดการศึกษาในช่วงระยะเวลาต่อมาก่อนที่จะได้รับการสถาปนาเมื่อายุ 18 ปี นั้น เป็นเรื่องที่สำคัญมากกว่า ผู้ที่จะเป็นผู้นำของทิเบตจึงต้องมีความรู้แทบทุกสาขาเทียบเท่าปริญญาเอก จึงไม่น่าแปลกใจที่พระพุทธศาสนาแบบทิเบตได้เผยแผ่ไปทั่วโลกได้ในเวลารวดเร็ว เพราะภูมิรู้ของลามะโดยเฉาะดาไลลามะองค์ปัจจุบันเป็นผู้มีความรู้ลึกซึ้งทั้งทางโลกและทางธรรม
              ถึงจะมีความรู้และความสามารถขนาดไหน ก็ยังไม่สามารถที่จะทำให้ชาวทิเบตได้รับเอกราช จากจีน แม้แต่พระองค์เองก็กลายเป็นราชาและสังฆราชาที่ต้องลี้ภัยการเมืองอาศัยแผ่นดินของชาติอื่นเป็นที่อยู่อาศัยตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2505 ร่วมเสพเคาะห์กรรมกับพลเมืองทิเบตที่ต้องจากมาตุภูมิกลายเป็นผู้ไร้แผ่นดิน แต่ไม่สิ้นชาติ เพราะทุกวันนี้ชาวทิเบตยังคงกู่ร้องหาอิสรภาพด้วยสันติวิธีตามแนวทางแห่งพระพุทธศาสนา แม้เวลาจะล่วงเลยมาหลายปีแล้วก็ตาม 
              ท่านลอบชัง วังยัล ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนในเคราะห์กรรมของชาวทิเบตที่ต้องกลายเป็นผู้ไร้อิสรภาพ ต้องอพยพจากบ้านเกิดเมืองนอนมาอาศัยแผ่นดินของผู้อื่นอยู่ ท่านจิบน้ำชาที่รสชาติเริ่มจืดชืด ผู้เขียนจึงสั่งเด็กชาวเนปาลให้นำโค็กมาให้พอดื่มและหายเหนื่อยแล้วท่านวังยัล ก็เริ่มจะสาธยายชีวิตความเป็นอยู่ของชาวทิเบตในภารตะประเทศต่อไป แต่ท่านธูปเท็น ชองโป โบกมือขอให้พอก่อนพร้อมด้วยประโยคที่ชาวอิตาเลี่ยนและชาวโลกไม่เคยลืมเลือนว่า “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียว” พวกเราจึงเข้าใจ และจบการสนทนากึ่งวิชาการบนดาดฟ้าอาคารหอวัฒนธรรมทิเบต ริมฝั่งแม่น้ำยุมนา ในขณะที่ดวงตะวันยามสายัณห์กำลังจะเลือนหายไปจากขอบฟ้าเบื้องปัจฉิมทิศ ฝูงนกกากำลังกลับรวงรังเหนือสายน้ำที่กำลังเอื่อยไหล หลังจากอ่อนล้าจากการแสวงหาอาหาร คงจะได้พักผ่อนเสียที ผู้เขียนรู้สึกอิจฉานกกาที่ยังมีรวงรังให้หวนกลับ แต่ศากยบุตรรูปนี้ไร้รัง เพราะต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมาร่อนเร่พเนจรเหมือนนกจากรัง แฝงตัวอยู่ในท่ามกลางของผู้คนที่แตกต่างทางวัฒนธรรม พูดกันคนละภาษา อาหารการกินมีรสชาติที่ไม่ค่อยจะถูกลิ้น แต่ยังดีที่มีร่องรอยแห่งพระพุทธศาสนาให้ศึกษาผ่านวัฒนธรรมที่แตกต่างนั่นเอง

              ดร.ลอบชัง วังยัล จบการสนทนาด้วยประโยคที่น่าคิดว่า  “เวลาที่มนุษย์มีอิสรภาพมักจะมองไม่เห็นคุณค่าของอิสรเสรี แต่เมื่อใดที่คุณเป็นผู้ลี้ภัยจึงจะเห็นคุณค่าของอิสรภาพว่ามีคุณค่าเหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้ชาวทิเบตประมาณหกล้านคน ยังคงคิดอยู่เสมอว่าจีนจะใจกว้างยอมให้ทิเบตปกครองตนเองโดยเสรี เมื่อนั้นพวกเราชาวทิเบตคงจะมีประเทศเป็นของตัวเองเสียที ”
              ในรอบหลายปีที่ผ่านมาองค์ดาไลลามะยังคงเดินทางพบปะผู้นำประเทศต่างๆทั่วโลก แม้จะมีนัยแอบแฝงทางการเมือง แต่สิ่งหนึ่งที่มีผลตามมาคือชาวโลกได้รู้จักพระพุทธศาสนามากขึ้น และมีบุคคลผู้มีชื่อเสียงหลายท่านหันมานับถือพระพุทธศาสนาตันตรยานแบบทิเบต  หากจำไม่ผิดในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีจะมีงานใหญ่เฉลิมฉลองในกลุ่มชาวทิเบตที่เมืองธรรมศาลา อินเดีย ในช่วงเวลานั้นจะมีบุคคลผู้มีชื่อเสียงจากทุกมุมโลกเดินทางมาร่วมงาน
           
   เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่ต้องการให้ย้อนอ่านถึงพระพุทธศาสนาในทิเบตและความสัมพันธ์กับจีน ทำไมจีนจึงโกรธนักโกรธหนาเมื่อองค์ดาไลลามะเดินทางไปพบกับประธานาธิบดีบารัค โอบามา เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นัยทั้งหลายอ่านแล้วโปรดพิจารณา

 

พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน
เรียบเรียง/แก้ไขปรับปรุงใหม่
22/02/53

เว็บไซต์ที่น่าสนใจ

กองธรรมสนามหลวง

กองบาลีสนามหลวง

สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

กรมการศาสนา

มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย

บัณฑิตวิทยาลัย  มมร

มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

สำนักฝึกอบรมพระธรรมทูตไปต่างประเทศ(ธ)

เว็บไชต์นักศึกษาปริญญาเอก สาขาพุทธศาสน์ศึกษา มมร

 

วัดไทย

เว็บวัดในประเทศไทย

วัดไทยในต่างประเทศ

คณะสงฆ์ธรรมยุตUSA

 วัดป่าธรรมชาติ LA

พระคุ้มครอง

วัดธรรมยุตทั่วโลก

 

ส่วนราชการในประเทศไทย

มหาวิทยาลัยในประเทศไทย

ส่วนราชการในประเทศไทย

กระทรวงในประเทศไทย

 

หนังสือพิมพ์ไทย

ไทยรัฐ
เดลินิวส์
มติชน
ผู้จัดการ
กรุงเทพธุรกิจ
คม ชัด ลึก
บ้านเมือง
ข่าวสด
ฐานเศรษฐกิจ
ประชาชาติธุรกิจ
สยามกีฬา
แนวหน้า
โพสต์ทูเดย์
ไทยโพสต์
สยามรัฐ
สยามธุรกิจ
บางกอกทูเดย์

 

ข่าวภาษาต่างประเทศ

ข่าว CNN

ข่าว BBC

Bangkok Post

The Nation

หนังสือพิมพภาษาต่างประเทศ

เมนูสมาชิก